SHARE
SCB EIC ARTICLE
24 กันยายน 2014

Special Economic Zone…โมเดลการเติบโตและแต้มต่อเศรษฐกิจที่ต้องจับตา

ในช่วงหลายเดือนมานี้ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเริ่มคุ้นหูคุ้นตากับคำว่า “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หรือ Special Economic Zone (SEZ) กันบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เพราะการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน roadmap สำคัญในการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลที่มีความเป็นรูปธรรมและน่าจับตามองมากที่สุดนโยบายหนึ่ง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนในเขตพื้นที่ชายแดนของไทย รองรับการก้าวเข้าสู่ AEC อย่างสมบูรณ์ในปี 2015

ผู้เขียน: โชติกา ชุ่มมี

 78160637.jpg

ในช่วงหลายเดือนมานี้ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเริ่มคุ้นหูคุ้นตากับคำว่า "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" หรือ Special Economic Zone (SEZ) กันบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เพราะการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน roadmap สำคัญในการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลที่มีความเป็นรูปธรรมและน่าจับตามองมากที่สุดนโยบายหนึ่ง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนในเขตพื้นที่ชายแดนของไทย รองรับการก้าวเข้าสู่ AEC อย่างสมบูรณ์ในปี 2015

ความจริงแล้ว แนวคิดเรื่อง Special Economic Zone ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่แต่อย่างใด เพราะทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้วในต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับการพัฒนาประเทศ และกระจายความเจริญออกจากศูนย์กลาง ตัวอย่างของเขตเศรษฐกิจพิเศษในโลกที่พวกเรารู้จักกันดีก็อย่างเช่น ประเทศที่มีพื้นที่เล็กๆ อย่างสิงคโปร์ หรือฮ่องกง เกาะมาเก๊าของจีน เกาะลาบวนในมาเลเซีย หรือแม้แต่เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างเซินเจิ้น หรือดูไบ ซึ่งแนวคิดและรูปแบบการพัฒนาในลักษณะนี้ได้มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศหรือเมืองเล็กๆ เหล่านี้ ก้าวขึ้นมาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจชั้นแนวหน้าของภูมิภาคและของโลกได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นและเป็นแม่เหล็กชั้นดีในการดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าประเทศอีกด้วย

เซินเจิ้น (Shenzhen) คือ หนึ่งในโมเดลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ไปสู่ศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจและการเงินของประเทศได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าในสมัยก่อน เซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่เพียงราว 30,000 คนเท่านั้น แต่หลังจากถูกเลือกให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีนในปี 1980 ความเจริญด้านต่างๆ ก็ได้ผุดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ทั้งการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ อาคารสำนักงาน โรงแรม และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ จำนวนมากมาย จนทำให้ปัจจุบันเซินเจิ้นกลายเป็นเมืองที่มีความเจริญและทันสมัยในระดับต้นๆ ของเอเชีย รวมทั้งยังมีสถานะเป็นเมืองในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุดของจีน และเป็นศูนย์กลางด้านการเงินของจีนตอนใต้ อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจและการค้าสูงที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศ มีปริมาณสินค้านำเข้า-ส่งออกมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ สามารถสร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลกลางมากถึงกว่า 200,000 ล้านหยวนต่อปีอีกด้วย รวมทั้งยังมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในประเทศจีน โดยมี GDP growth เฉลี่ยอยู่ที่ 28% อย่างต่อเนื่องในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา

คำถามที่น่าสนใจคือ ...อะไรคือ key success factor ของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้?

ปัจจัยแห่งความสำเร็จประการแรก คือ สิทธิในการออกนโยบายพิเศษเฉพาะสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองเซินเจิ้นที่เป็นอิสระจากรัฐบาลกลางจีน ส่งผลให้เซินเจิ้นเป็นเมืองแรกๆ ในจีนที่นำร่องการปฏิรูปในรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การนำระบบภาษีนิติบุคคล (Corporate tax) ที่แตกต่างกันมาใช้สำหรับผู้ประกอบการต่างประเทศและผู้ประกอบการจีน เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติอยากเข้ามาลงทุน หรือแม้แต่การให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม hi-technology และผู้ประกอบการในกลุ่ม SMEs ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการค้าการลงทุน ส่งผลให้ในช่วงระหว่างปี 1980-2007 เซินเจิ้นสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ต่อเนื่องทุกปี

ประการที่สองคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เหมาะสม เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งในส่วนของการพัฒนาสนามบิน ท่าเรือ ถนน ระบบโทรคมนาคม และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งไฟฟ้า ประปา ซึ่งปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้มีส่วนช่วยเพิ่มความน่าสนใจและเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับเมืองแห่งนี้ โดยปัจจุบันท่าเรือของเมืองเซินเจิ้นจัดว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญเป็นอันดับ 4 ของโลก ขณะที่สนามบินก็จัดอยู่ในอันดับ 4 ของสนามบินภายในประเทศของจีนที่มีผู้โดยสารเข้าออกมากถึงกว่าปีละ 20 ล้านคน นอกจากนี้ เซินเจิ้นยังสามารถสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ช่วยลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงิน และสร้างความมั่นใจสำหรับสถาบันการเงินจากต่างชาติอีกด้วย

ประการต่อมาคือ การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลท้องถิ่นเซินเจิ้น  โดยเน้นที่ความโปร่งใสและยืดหยุ่นในการบริหารงานและตัดสินใจ ทำให้สามารถพัฒนาและปฏิรูปการดำเนินงานได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ หน่วยงานต่างๆ ในเซินเจิ้นยังมีกระบวนการทำงานในลักษณะ "One stop service" ขณะที่กระบวนการและขั้นตอนการขออนุมัติต่างๆ ก็ความเป็นมิตรต่อภาคธุรกิจ (Business-friendly) ค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ เซินเจิ้นยังมีนโยบายด้านอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของเมือง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มกันเป็น cluster ของภาคธุรกิจเพื่อให้เกิด economies of scale, อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นในกิจการบางประเภทได้ 100%, อนุญาตให้มีการเช่าที่ดินและโครงสร้างพื้นฐานได้นานถึง 99 ปี, อนุญาตให้บริษัทต่างชาติส่งผลกำไรกลับประเทศได้ รวมไปถึงกฎหมายด้านแรงงานที่มีความยืดหยุ่นสูง หรือแม้แต่นโยบายด้านการคลังที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้เป็นอย่างดี

คราวนี้ลองหันกลับมามองบ้านเรากันบ้าง ...จะเห็นว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันก็ได้ให้ความสำคัญกับโมเดลเศรษฐกิจในรูปแบบนี้เช่นกัน โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษนำร่องใน 5 จังหวัดชายแดน คือ ตาก มุกดาหาร สระแก้ว ตราด และสงขลา ซึ่งทั้ง 5 จุดนี้ ถือได้ว่าเป็นประตูการค้าหลักที่มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนสูงในลำดับต้นๆ ของประเทศ รวมทั้งยังเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญรองรับการก้าวเข้าสู่ AEC ดังนั้น การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษรละสถานที่แล้ว การให้อย่างรวดเร็ว ของประเทศ จะช่วยสนับสนุนให้ปริมาณการค้าชายแดนของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีความคึกคักมากขึ้น รวมทั้งยังตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มการจ้างงาน และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชน รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และปัญหาความแออัดตามด่านชายแดนได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคมากขึ้น และส่งเสริมบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการผลิตภายในภูมิภาค (regional production network)

สิทธิพิเศษและมาตรการสนับสนุนที่จูงใจจากภาครัฐ คือ เงื่อนไขสำคัญเบื้องต้นของความสำเร็จในการจัดตั้ง Special Economic Zone นอกเหนือไปจากการตระเตรียมความพร้อมในเรื่องสถานที่ ทั้งในแง่การปรับปรุงข้อกำหนดเรื่องผังเมืองและการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว ต้องไม่ลืมว่าการให้สิทธิพิเศษต่างๆ และมาตรการสนับสนุนที่จูงใจคือ แรงกระตุ้นสำคัญที่ภาครัฐต้องคำนึงถึง เช่น การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการที่ย้ายฐานการผลิตเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว, มาตรการลดหย่อนด้านภาษี หรือแม้แต่การผ่อนปรนการบังคับใช้อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท เพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการ เป็นต้น

ขณะที่การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจระดับประเทศให้เข้ากับเศรษฐกิจระดับภูมิภาคคือ อีกหนึ่งเงื่อนไขที่มีความจำเป็นในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน โดยรัฐบาลควรเร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบขนส่งคมนาคมและโลจิสติกส์ภายในประเทศเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ชายแดนกับพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศอย่างบูรณาการ เพื่อทำให้การผลิตและขนส่งสินค้าจากชายแดนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและมีต้นทุนที่ต่ำลง

อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ การสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในส่วนของการสร้างความตกลงด้านการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้า ปัจจัยการผลิต แรงงาน และนักท่องเที่ยวข้ามพรมแดน ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงระหว่างกัน เพื่อสนับสนุนและต่อยอดให้การพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมีความสอดคล้องและเป็นเครือข่ายการผลิตเดียวกันกับเศรษฐกิจชายแดนของไทย โดยอาจมีการขับเคลื่อนในลักษณะ "เขตเศรษฐกิจร่วม" เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและการเติบโตแบบคู่ขนานไปพร้อมๆ กัน และไม่ทำให้เกิดความแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้านมากนัก ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหาด้านอื่นๆ ในอนาคตได้

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ