ผู้เขียน: ดร. ธนพล ศรีธัญพงศ์ และกัลยรักษ์ นัยรักษ์เสรี
![iStock-531533905.jpg]()
![Event.png]() |
![885_20100622103059.gif]()
|
- จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินระหว่างวันที่ 30-31 กรกฎาคม 2018 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan: BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.1% แต่ได้ปรับแนวการดำเนินนโยบายการเงินให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี โดยขยายกรอบการเคลื่อนไหวอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีปัจจุบันที่ตรึงไว้ระดับ 0% ตามนโยบายการควบคุมเส้นผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (Yield Curve Control: YCC) ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกเดือนกันยายนปี 2016 ให้เคลื่อนไหวได้ในกรอบที่กว้างขึ้น พร้อมปรับสัดส่วนการเข้าซื้อกองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น (Exchange Traded Fund: ETF)
- BOJ ยังประกาศสัญญาณชี้นำล่วงหน้า (Forward Guidance) ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำต่อไปในระยะข้างหน้าเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และรองรับผลกระทบในอนาคตซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการปรับขึ้นภาษีการบริโภคในเดือนตุลาคม ปี 2019
|
![Analysis.png]() |
![884_20100622103051.gif]()
|
- BOJ ได้ปรับแนวทางการดำเนินโยบายการเงินเล็กน้อยใน 2 ประเด็นหลัก ซึ่งเป็นการสร้างความยืดหยุ่นต่อการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายในปัจจุบัน ได้แก่
- 1. ขยายกรอบการเคลื่อนไหวอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี ให้สามารถเคลื่อนไหวได้กว้างขึ้น จากเดิมในช่วงราว -0.1% ถึง 0.1% (±10 bps จากระดับ 0%) มาเป็นราว -0.2% ถึง 0.2% (±20 bps จากระดับ 0%) เพื่อให้การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นของ BOJ มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและสอดรับสถานการณ์ในตลาดการเงินโลกที่อัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศหลักเริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้นตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลก โดยยังคงวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเท่าเดิมที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี ซึ่งมีนัยต่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรญี่ปุ่นอายุ 10 ปีและมากกว่าที่จะสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้อีกจากปัจจุบัน (รูปที่ 1) และเป็นการเพิ่มความชัน (slope) ให้แก่เส้นอัตราผลตอบแทนในส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพื่อลดผลกระทบต่อภาคการเงินของญี่ปุ่นจากภาวะดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน โดยเฉพาะต่อธุรกิจภาคธนาคาร ประกันชีวิต และกองทุนบำเหน็จบำนาญ
- 2. ปรับสัดส่วนการเข้าซื้อ ETF โดยจะเข้าซื้อกองทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับดัชนี TOPIX (Tokyo Stock Price Index) มากขึ้นและลดการเข้าซื้อกองทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับดัชนี Nikkei 225 โดยยังคงวงเงินการเข้าซื้อ ETF รวมไว้เท่าเดิมที่ 6 ล้านล้านเยนต่อปี (รูปที่ 2) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการเข้าซื้อ ETF นี้มีนัยว่า BOJ ต้องการทยอยลดการบิดเบือนกลไกตลาดทางอ้อม เนื่องจากในดัชนี Nikkei 225 มีสัดส่วนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นในดัชนี TOPIX ซึ่งหุ้นขนาดใหญ่ในภาพรวมมี free float สูงกว่า ซึ่งจะทำให้เกิดการบิดเบือนราคาหลักทรัพย์ในดัชนี Nikkei 225 ในระยะยาวได้หาก BOJ ไม่เริ่มปรับสัดส่วนการเข้าซื้อ ETF ในปัจจุบัน
- BOJ ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปีงบประมาณ 2018 จาก 1.3% เป็น 1.1% สำหรับปี 2019 จาก 1.8% เป็น 1.5% และสำหรับปีงบประมาณ 2020 จาก 1.8% เป็น 1.6% ซึ่งยังต่ำกว่าระดับอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% เป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ จะยังต้องคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในภาพรวมต่อไป แม้จะเริ่มมีการปรับ YCC ให้ดอกเบี้ยระยะยาวสามารถปรับเพิ่มสูงขึ้นได้และเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นต่อการดำเนินนโยบาย YCC ในระยะข้างหน้าที่ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากตลาดการเงินเริ่มคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินญี่ปุ่นซึ่งใช้มาตรการผ่อนคลายมาอย่างยาวนาน แต่ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นกลับไม่ฟื้นตัวตามคาด โดยในเดือนมิถุนายน 2018 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ที่ระดับ 0.8%YOY นอกจากนี้ ในการประชุมเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา BOJ มีมติยกเลิกกรอบเวลาบรรลุอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายภายในปีงบประมาณ 2019 เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงฟื้นตัวช้ากว่าคาดจากค่าจ้างแรงงานที่ขยับขึ้นช้าจากปัญหาโครงสร้างตลาดแรงงานญี่ปุ่นและการขึ้นค่าแรงของบริษัทญี่ปุ่นที่ปรับขึ้นน้อย
- เงินเยนอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ หลัง BOJ ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำต่อไปในระยะข้างหน้า ณ วันที่ 31 กรกฎาคมหลัง BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เงินเยนอ่อนค่าลง 0.7% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แตะที่ระดับ 111.86 เยน ในขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลงต่ำสุดสู่ระดับที่ 0.05% โดยฟื้นตัวขึ้นแตะระดับ 0.11% ในช่วงเช้าวันที่ 1 สิงหาคม ทำให้โดยรวมการตอบสนองต่อตลาดพันธบัตรค่อนข้างน้อย ในอีกแง่หนึ่ง การคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของญี่ปุ่นนั้นสวนทางกับการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้ ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินเยนมีทิศทางอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ตามค่าเงินภูมิภาคเอเชียในปีนี้หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังแข็งค่าต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เงินเยนอาจกลับมาแข็งค่าชั่วคราวได้จากการเป็นสถานะสกุลเงินปลอดภัย (safe haven) ในภาวะตลาดปิดรับความเสี่ยง (risk off)
|