เจาะความสำเร็จ “เอทานอล” ในบราซิล เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน
นโยบายปฏิรูปพลังงานยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลถูกปรับลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน และราคาน้ำมันดิบที่ลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินให้สูงกว่าแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้คนใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่างแก๊สโซฮอลที่มีส่วนผสมของเอทานอลที่ทำมาจากอ้อย มันสำปะหลัง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน
ผู้เขียน: ดร.ศิวาลัย ขันธะชวนะ
นโยบายปฏิรูปพลังงานยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลถูกปรับลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน และราคาน้ำมันดิบที่ลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินให้สูงกว่าแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้คนใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่างแก๊สโซฮอลที่มีส่วนผสมของเอทานอลที่ทำมาจากอ้อย มันสำปะหลัง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน
หากศึกษานโยบายสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานในต่างประเทศ โดยเจาะเฉพาะโมเดลการนำเอทานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงด้านการขนส่ง ประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามที่ควรนำมาเป็นกรณีศึกษาคงหนีไม่พ้น "บราซิล" ซึ่งมีอัตราการใช้พลังงานทดแทนสูงที่สุดในโลก สิ่งที่น่าสนใจคือบราซิลสามารถผันตัวเองจากประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันถึง 80% ของความต้องการน้ำมันทั้งหมด มาเป็นประเทศ self-sufficiency ด้านน้ำมันในปี 2006 โดยส่วนหนึ่งได้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศมาผลิตให้เป็นพลังงานทดแทน อะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จของบราซิลในการส่งเสริมการใช้เอทานอล?
ความสำเร็จของการใช้พลังงานชีวภาพอย่างเอทานอลในบราซิลเป็นผลมาจากนโยบายภาครัฐเป็นสำคัญ จากวิกฤตการณ์ oil shock ในปี 1973 ที่ราคาน้ำมันทะยานขึ้นถึง 4 เท่า ได้จุดประกายให้รัฐบาลบราซิลออกโครงการ "Prόalcool" เพื่อสนับสนุนการผลิตและนำเอทานอลมาใช้เป็นพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง มุ่งสู่เป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมันจากฟอสซิล โดยเริ่มจากมาตรการที่สำคัญได้แก่ การการันตีรับซื้อเอทานอลโดย Petrobras ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกรไร่อ้อยและผู้ผลิตเอทานอลเพื่อนำไปลงทุน และการกำหนดราคาขายเอทานอลที่ 59% ของราคาน้ำมันเบนซินโดยการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ผลิตเอทานอล เพื่อจูงใจให้ผู้ขับขี่หันมาเติมน้ำมันที่ผสมเอทานอลมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐได้ออกกฎหมายบังคับสัดส่วนของเอทานอลที่นำมาผสมกับน้ำมันเบนซินเพื่อจำหน่ายทั่วประเทศให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นตามลำดับ (mandatory blending)
จากนโยบายข้างต้นส่งผลให้ยอดการผลิตเอทานอลในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเพิ่มจากปีละ 3.8 พันล้านลิตร เป็น 24 พันล้านลิตร สามารถรองรับอุปสงค์ที่มีการเติบโตราว 6% ต่อปี ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลบราซิลอนุมัติ mandatory blending ให้เพิ่มจาก 25% เป็น 27.5% ซึ่งคาดว่าจะทำให้อุปสงค์ของเอทานอลเพิ่มขึ้นอีก 4-5 พันล้านลิตร เทียบเท่ากับความต้องการอ้อย 7-8 ล้านตัน
บราซิลมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ และมีการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพืชพลังงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยลักษณะพื้นที่การเกษตรและสภาพอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกอ้อยทำให้ผลผลิตต่อไร่ของบราซิลมีมากกว่าพื้นที่ใดในโลก บราซิลจึงมีความได้เปรียบทั้งด้านปริมาณและต้นทุนวัตถุดิบ จึงไม่น่าแปลกใจที่บราซิลจะเป็นประเทศผู้ผลิตเอทานอลจากอ้อยที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือคิดเป็น 27% ของอุปทานเอทานอลทั่วโลก อีกทั้งยังสามารถนำเอทานอลจากอ้อยมาใช้ทดแทนน้ำมันได้เกือบ 40% ของความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด นอกจากนี้ บราซิลสามารถใช้น้ำอ้อยหรือกากน้ำตาลมาผลิตเป็นเอทานอลทำให้มีความยืดหยุ่นในการเลือกผลิตระหว่างเอทานอลและน้ำตาล ต่างจากไทยที่ปัจจุบันไม่อนุญาตให้นำน้ำอ้อยมาผลิตเป็นเอทานอลได้
แม้จะมีความได้เปรียบเรื่องพื้นที่การเกษตรแต่บราซิลก็ไม่ละเลยเรื่อง R&D ซึ่งการทุ่มงบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ทำให้บราซิลก้าวขึ้นเป็นประเทศปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก โดยสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ราว 4% ต่อปี ซึ่งบราซิลได้มีการพัฒนาสายพันธุ์อ้อยให้สามารถผลิตน้ำตาลและเอทานอลในสัดส่วนที่สูงขึ้น ทนทานต่อโรคและสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อให้สามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปในภาคต่างๆ ของประเทศ ล่าสุดโครงการผลิตเอทานอลจากเซลลูโลส (cellulosic ethanol) ซึ่งทำจากกากอ้อย เกิดขึ้นเชิงพาณิชย์แล้วในบราซิล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าเดิมถึง 30%
การสร้างอุปสงค์ให้เอทานอลด้วยรถ ffv อีกหนึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จ อุตสาหกรรมรถยนต์ของบราซิลให้ความร่วมมือในการพัฒนา flex-fuel vehicle (ffv) ในช่วงปี 2000 ซึ่งเป็นรถที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้หลายประเภท ตั้งแต่เบนซิน หรือเบนซินที่มีส่วนผสมของเอทานอลในสัดส่วนต่างๆ เช่น E20, E85 ไปจนถึงเอทานอลบริสุทธิ์ 100% (E100) ทั้งนี้ ด้วยความเชื่อมั่นที่ให้กับผู้ขับขี่ว่าการเติมเอทานอลจะไม่เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ และการลดภาษีให้กับผู้ซื้อรถ ffv ตลอดจนโยบายภาครัฐที่ทำให้ราคาน้ำมันผสมเอทานอลถูกกว่าเบนซิน ส่งผลให้รถ ffv ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากยอดขายรถ ffv ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตสูงถึง 52% ต่อปี ซึ่งการขยายตัวของรถ ffv ทำให้ความต้องการเอทานอลมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันบราซิลผลิตรถ ffv มากกว่า 160 รุ่นจาก 13 แบรนด์ ทำให้บราซิลเป็นประเทศที่มีรถ ffv มากที่สุดในโลก หรือกว่า 21 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วน 62% ของจำนวนรถยนต์นั่งและรถกระบะทั้งหมด คาดว่าภายในปี 2020 รถ ffv จะมีสัดส่วนสูงถึง 81% ซึ่งจะทำให้บราซิลต้องผลิตเชื้อเพลิงจากเอทานอลเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันถึง 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการสนับสนุนพลังงานทดแทนของบราซิลไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ในบางช่วงที่ราคาน้ำตาลโลกสูงขึ้น ผู้ประกอบการนิยมนำอ้อยมาผลิตเป็นน้ำตาลมากกว่าเอทานอลเพราะได้ราคาดีกว่า ทำให้เกิดการขาดแคลนเอทานอลและต้องนำเข้าจากต่างประเทศ รัฐจึงต้องลดสัดส่วน mandatory blending ลงเป็นการชั่วคราว หรือในช่วงราคาน้ำมันดิบตกต่ำกดดันราคาเบนซินให้ลดลง ทำให้ผู้ผลิตเอทานอลสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน รัฐต้องใช้เงินอุดหนุนจำนวนมากเพื่อให้เอทานอลมีราคาต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน
เมื่อย้อนกลับมามองประเทศไทย เราพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบถึง 80% ของความต้องการทั้งหมด อีกทั้งยังต้องเผชิญความท้าทายจากทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ร่อยหรอลงไป ในระยะยาวเชื่อว่าไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีการผลักดันการผลิตและใช้แก๊สโซฮอลอย่างจริงจังมา 10 ปีแล้ว ส่งผลให้ความต้องการใช้เอทานอลของไทยขยายตัวเฉลี่ย 18% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี ที่กำหนดให้มีการใช้เอทานอล 9 ล้านลิตรต่อวัน ภายในปี 2021 ซึ่งมีปริมาณมากกว่าการใช้ในปัจจุบันถึง 3 เท่า คาดว่าไทยจะต้องเพิ่มผลผลิตอ้อย รวมถึงมันสำปะหลังซึ่งสามารถนำมาผลิตเอทานอลได้เช่นกัน และสร้างโรงงานเอทานอลเพิ่มเติมเพราะปัจจุบันมี กำลังการผลิตทั้งหมดราว 5 ล้านลิตรต่อวัน อีกทั้งออกมาตรการเชิงรุกสนับสนุนการใช้แก๊สโซฮอลที่มีเอทานอลในสัดส่วนสูง เช่น E85 และรถยนต์แบบ ffv เพื่อกระตุ้นดีมานด์ของเอทานอล ทั้งนี้ จากกระแสรักษ์โลก การลดมลพิษ และการกำหนดเป้าหมายการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพที่เห็นได้ทั่วโลก จะเป็นแรงผลักดันการเติบโตของยอดส่งออกในอุตสาหกรรมเอทานอลไทย
แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันจะมีแนวโน้มลดลงซึ่งทำให้เอทานอลสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่การผลักดันให้มีการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพยังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของไทย