เผยแพร่ใน EIC Outlook ฉบับไตรมาส 3/2018 คลิกอ่านฉบับเต็ม
ราคาน้ำมัน (USD/บาร์เรล)
|
2017F |
2018F
|
2019F |
(ค่าเฉลี่ย) |
Q1 |
Q2 |
Q3 |
Q4 |
เฉลี่ย |
Q1 |
Q2 |
Q3F |
Q4F |
เฉลี่ย |
สูงสุด* |
ต่ำสุด* |
เฉลี่ย |
ราคาน้ำมันดิบ WTI
|
52 |
48 |
48 |
55 |
51 |
63 |
68 |
66 |
67 |
66 |
75 |
54 |
68 |
ราคาน้ำมันดิบ Brent |
54 |
50 |
52 |
61 |
54 |
67 |
75 |
73 |
74 |
72 |
72 |
57 |
75 |
*ข้อมูลจาก Leading global houses ( 22 พฤษภาคม 2018)
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC
EIC’s view: Bear
ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3 ปี 2018 มีแนวโน้มปรับระดับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากระดับราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นมามากรับข่าวไปแล้วในไตรมาสที่ 2 จากการกลับมาคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน รวมไปถึงข่าวที่สหรัฐฯ กำลังพิจารณาออกมาตรการคว่ำบาตรเวเนซุเอลาภายหลังจากการเลือกตั้ง ตอกย้ำปริมาณการผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลา ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 30 ปี
ทั้งนี้ สำหรับปัจจัยเรื่องสหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ต่ออิหร่าน อีไอซีมองว่าจะส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันดิบเพียงระยะสั้น และไม่รุนแรงเท่ากับการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเมื่อครั้งที่แล้วในปี 2012-2015 เนื่องจาก สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่กลับมาคว่ำบาตร ในขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปยืนยันไม่ถอนตัวจากข้อตกลง ซึ่งมีแนวโน้มคงการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านต่อไป แต่ถ้าอิหร่านไม่สามารถส่งออกไปยุโรปได้ คาดว่าอิหร่านจะยังส่งออกไปจีนทดแทน ซึ่งปัจจุบันจีนมีความขัดแย้งเรื่องการค้ากับสหรัฐฯ จึงไม่น่าลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน
ในส่วนของปัจจัยที่จะกดดันราคาน้ำมันดิบไม่ให้ปรับระดับสูงขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 เป็นเรื่องของอุปสงค์ที่มีแนวโน้มลดลงตามฤดูกาลจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นต่างๆ และอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากผู้ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้ผลิตสหรัฐฯ จะขุดเจาะน้ำมันออกมาไม่มากพอที่จะกดราคาน้ำมันไว้ได้ เนื่องจากความท้าทายต่างๆ เช่น การขนส่งน้ำมันทางท่อ และท่าเรือมีปัญหาคอขวด อีกทั้งผู้ถือหุ้นในบริษัทน้ำมันต้องการเงินปันผลจากราคาหุ้นที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันมากกว่าที่จะสนใจเรื่องการเพิ่มปริมาณการผลิต แต่คาดว่าในไตรมาส 3 อุปทานน้ำมันจากสหรัฐฯ จะออกสู่ตลาดได้มากขึ้น จากการเปิดท่อขนส่งน้ำมัน Mariner East 2 ในแหล่ง Marcellus และ Utica รัฐ Pennsylvania ทำให้ขนส่งน้ำมันได้เพิ่มขึ้นจาก 0.7 เป็น 3.45 แสนบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 3 ยังมี upside risk จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geo-political risk) ในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อย่างเวเนซุเอล่า ซีเรีย ไนจีเรีย และลิเบีย ซึ่งหากปัญหาทางการเมืองยังคงยืดเยื้อจนเกิดความรุนแรงจะทำให้อุปทานน้ำมันเกิดการตึงตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทะยานสูงขึ้นในระยะสั้นได้
|
BULLs |
BEARs |
-
ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ที่เคยทำไว้กับอิหร่าน และจะบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจสูงสุดต่ออิหร่าน รวมถึงการพิจารณาใช้มาตรการคว่ำบาตรกับประเทศที่ให้ความช่วยเหลืออิหร่านในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตและการส่งออก น้ำมันดิบของอิหร่าน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบเกิดการตึงตัว และทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นในระยะสั้น
-
ปริมาณการผลิตน้ำมันในเวเนซุเอลาได้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี อยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนเมษายน 2018 หรือลดลง 40% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลามีไม่มากนัก นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังพิจารณามาตรการคว่ำบาตรเวเนซุเอลา เนื่องจากความไม่โปร่งใสของการจัดการเลือกตั้ง หลังจากที่นายนิโคลัส มาดูโร ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งหากสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อเวเนซุเอล่า ก็จะส่งผลเชิงจิตวิทยา ที่ทำให้ระดับราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นได้
-
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้รายงานตัวเลขล่าสุดน้ำมันดิบคงคลังของ OECD (The Organization of Economic Cooperation and Development) ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำมันราว 50% ของโลก ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ในเดือนมีนาคม 2018 มาอยู่ที่ 2,812 ล้านบาร์เรล ใกล้เคียงกับระดับน้ำมันดิบคงคลังค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ OPEC วางเป้าหมายไว้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการน้ำมันดิบโลกที่แข็งแกร่ง ซึ่งหากระดับน้ำมันดิบคงคลังยังลดลงต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
|
-
ปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคม 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 844 แท่น โดยขยายตัวราว 17% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จัดว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2015 สะท้อนถึงปริมาณอุปทานน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รายงานครั้งล่าสุดของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ว่าในไตรมาส 3 ปี 2018 สหรัฐฯ จะผลิตน้ำมันสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงกว่าระดับปัจจุบันราว 4 แสนบาร์เรลต่อวัน
-
อุปทานน้ำมันดิบโลกในไตรมาส 3 ปี 2018 ยังคงมากกว่าปริมาณความต้องการใช้น้ำมันดิบราว 3 แสนบาร์เรลต่อวัน โดย EIA ประเมินอุปทานน้ำมันดิบของโลกในไตรมาส 3 จะอยู่ที่ราว 101.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดิบจะอยู่ที่ราว 100.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งปริมาณน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นจะมาจากการขยายตัวของปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ เป็นหลักที่ 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
-
ไตรมาส 3 เป็นฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นส่งผลให้ความต้องการน้ำมันดิบเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการกลั่นมีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ กำลังการกลั่นจะหายไปมากที่สุดในตะวันออกกลาง และเอเชีย ประมาณ 2.2 และ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ
-
OPEC และ Non-OPEC Ministerial Meeting ครั้งที่ 4 ตกลงปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ โดยจากผลการประชุมร่วมกัน ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2018 มีเป้าหมายจะปรับลด compliance rate จาก 152% ในเดือนพฤษภาคม 2018 ลงเหลือ 100% ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2018 ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเพิ่มปริมาณการผลิตราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 1% ของการผลิตน้ำมันโลก
|