SHARE
SCB EIC ARTICLE
09 กรกฏาคม 2018

ติดตามความคืบหน้าล่าสุดของข้อตกลงทางการค้า CPTPP

เผยแพร่ใน EIC Outlook ฉบับไตรมาส 3/2018 คลิกอ่านฉบับเต็ม 



Outlook_Q3_2018_Box1_5.jpg

 

หลังสหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลง TPP ไปเมื่อต้นปี 2017 สมาชิกที่เหลืออีก 11 ประเทศก็ตัดสินใจเดินหน้าข้อตกลงทางการค้านี้ต่อ ภายใต้ชื่อใหม่ว่า CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership) หรือความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ในภาพรวม CPTPP เป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกปัจจุบันของ CPTPP ได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม (รูปที่ 2)

 

TPP และ CPTPP แตกต่างกันที่ขนาดของเศรษฐกิจ และรายละเอียดในข้อตกลง แน่นอนว่าหลังจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลกถอนตัวออกไป ทั้งเศรษฐกิจ การค้าและจำนวนประชากรรวมของ CPTPP ย่อมมีขนาดเล็กลง จากตัวเลขของธนาคารโลกจะเห็นว่าขนาดเศรษฐกิจรวมของ CPTPP หลังไม่มีสหรัฐฯ ลดลงจาก 38% ของเศรษฐกิจโลก เป็น 13% ส่วนขนาดการค้ารวมลดลงจาก 27% เป็น 15% (รูปที่ 3) นอกจากนี้ 11 ประเทศสมาชิก CPTPP ยังตัดสินใจระงับข้อบัญญัติ (provision) 22 ข้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่สหรัฐฯ สนับสนุน แต่ไม่เป็นประโยชน์กับประเทศสมาชิกอื่นๆ มากนัก เช่น การคุ้มครองอุตสาหกรรมยา การขยายระยะเวลาคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจาก 50 ปีเป็น 70 ปี และการให้สิทธินักลงทุนฟ้องร้องรัฐบาลในบางกรณีที่นโยบายรัฐส่งผลลบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ดี ข้อบัญญัติส่วนใหญ่จาก TPP ยังคงไว้เหมือนเดิม เช่น การเปิดเสรีการค้าสินค้าและบริการในระดับสูง รวมถึงกฎหมายสิทธิแรงงาน ทำให้ CPTPP ยังถือว่าเป็นข้อตกลงทางการค้าที่มีมาตรฐานสูง และที่สำคัญคือประเทศสมาชิกสามารถพิจารณานำข้อตกลงที่ระงับไปกลับมาใช้ใหม่ได้

 

รูปที่ 1:  11 ประเทศสมาชิก CPTPP

 

 

 Outlook_Q3_2018_Box1_map.jpg

 

 

รูปที่ 2: ข้อแตกต่างระหว่าง CPTPP กับ TPP และ RCEP

 

 Outlook_Q3_2018_Box1_2.jpg

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ World Bank และ Trademap

 

ปัจจุบัน 11 ประเทศสมาชิกกำลังอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายเพื่อรับรองข้อตกลง (ratification) หลังจากที่ได้ลงนามใน CPTPP ไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2018 CPTPP จะมีผลบังคับใช้ภายใน 60 วันหลังจากที่ประเทศสมาชิกอย่างน้อย 6 ประเทศให้สัตยาบันรับรอง คาดว่า CPTPP จะมีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดภายในปี 2018 หรืออย่างช้าที่สุดต้นปี 2019 ล่าสุดเม็กซิโกและญี่ปุ่นเป็นสมาชิก 2 ประเทศแรกที่เสร็จสิ้นกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศเพื่อรับรอง CPTPP ในเดือนเม.ย.และมิ.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ความคืบหน้าของ CPTPP ทำให้อีกหลายประเทศต่างสนใจเข้าร่วมข้อตกลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ศรีลังกา ไต้หวัน สหราชอาณาจักร รวมถึงไทย โดย CPTPP จะเริ่มเปิดรับประเทศสมาชิกใหม่หลังจากที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้แล้ว (รูปที่ 4)

 

 

รูปที่ 3: ความคืบหน้าล่าสุดของ CPTPP

 

Outlook_Q3_2018_Box1_3.jpg

ที่มา: ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างๆ

 

ในฐานะที่เป็นชาติการค้า ประเทศไทยเองก็เตรียมตัวจะเข้าร่วมกับ CPTPP เช่นกัน โดยรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ได้ประกาศเป้าหมายเจรจาให้ไทยเข้าร่วมภายในปีนี้ อีไอซีมองว่าผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้า CPTPP แบ่งได้เป็น 3 ด้านใหญ่ๆ คือ

การส่งออก CPTPP จะเพิ่มโอกาสการส่งออกของไทยไปยังประเทศสมาชิก CPTPP โดยเฉพาะตลาดแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งไทยยังไม่มีข้อตกลงการค้าเสรีด้วย ในปี 2017 มูลค่าส่งออกไทยไปยังกลุ่มประเทศ CPTPP มีสัดส่วน 30% ของการส่งออกทั้งหมดจากไทย สำหรับแคนาดากับเม็กซิโกมีสัดส่วนการส่งออกรวมกัน 2% (รูปที่ 5) สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปแคนาดา ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป ข้าว และผลิตภัณฑ์ยาง ส่วนสินค้าหลักที่ส่งออกไปเม็กซิโกคือ รถยนต์และส่วนประกอบ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าในหมวดดังกล่าวมีโอกาสไปได้ดีถ้าไทยเข้าร่วม CPTPP ได้สำเร็จ

การลงทุนจากต่างประเทศ การเข้าร่วม CPTPP จะช่วยดึงดูดการลงทุนที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศสมาชิก CPTPP ซึ่งหากไทยไม่เข้าร่วมก็อาจจะเสียโอกาสตรงนี้ให้มาเลเซียกับเวียดนามไป อุตสาหกรรมไทยที่น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดในแง่ของการดึงดูดการลงทุนคืออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะการลงทุนจากญี่ปุ่นในฐานะที่ไทยถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญแห่งหนึ่ง

ความสามารถทางการแข่งขัน CPTPP จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย จากการปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ CPTPP ที่ได้ชื่อว่าเป็นความตกลงทางการค้าคุณภาพสูง ตัวอย่างกฎเกณฑ์ที่ CPTPP สนับสนุน ได้แก่ กฎหมายสิทธิแรงงาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสนับสนุนการแข่งขันอย่างเท่าเทียมระหว่างธุรกิจชาวท้องถิ่นและชาวต่างชาติ เป็นต้น ซึ่งการปฏิรูปกฎหมายเหล่านี้จะเป็นผลบวกกับไทยในระยะยาวนอกจากนี้ ไทยยังได้ประโยชน์จากกฎเกณฑ์ที่ผ่อนปรนขึ้นกว่า TPP ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมยา TPP เคยบังคับให้ประเทศสมาชิกต้องยอมรับการผูกขาดด้านยาเพิ่มขึ้น ทำให้การเข้าถึงยาสามัญเป็นเรื่องยากสำหรับภาครัฐและประชาชนทั่วไป ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลก็จะยิ่งสูงตาม แต่สุดท้ายข้อตกลงนี้ถูกระงับไป ไทยจึงไม่จำเป็นต้องเสียประโยชน์ส่วนนี้แล้วหากต้องการเข้าร่วมกับ CPTPP

นอกจากนี้ ไทยยังได้ประโยชน์จากกฎเกณฑ์ที่ผ่อนปรนขึ้นกว่า TPP ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมยา TPP เคยบังคับให้ประเทศสมาชิกต้องยอมรับการผูกขาดด้านยาเพิ่มขึ้น ทำให้การเข้าถึงยาสามัญเป็นเรื่องยากสำหรับภาครัฐและประชาชนทั่วไป ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลก็จะยิ่งสูงตาม แต่สุดท้ายข้อตกลงนี้ถูกระงับไป ไทยจึงไม่จำเป็นต้องเสียประโยชน์ส่วนนี้แล้วหากต้องการเข้าร่วมกับ CPTPP

 

 

รูปที่ 4 : สัดส่วนการส่งออกไทยไปยังประเทศสมาชิก CPTPP ในปี 2017

 

Outlook_Q3_2018_Box1_4.jpg

 

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trademap

 

 

ในขณะเดียวกัน ข้อตกลงการค้าและบริการที่เปิดกว้างของ CPTPP อาจทำให้ธุรกิจบางรายในไทยต้องเสียประโยชน์จากการรุกตลาดของต่างชาติ เนื่องจาก CPTPP เปิดโอกาสทางการแข่งขันให้นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีสินค้านำเข้า การเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล รวมถึงการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อกิจการท้องถิ่นได้ โดย 2 ธุรกิจไทยที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วม CPTPP คือ

ธุรกิจบริการ สำหรับภาคบริการ CPTPP ใช้เงื่อนไขการเจรจาแบบ negative list หรือการระบุรายการที่ไม่เปิดเสรี หมายความว่าประเทศสมาชิกสามารถระบุหมวดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องการเปิดเสรีได้ ส่วนที่หมวดธุรกิจบริการอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในข้อตกลงจะต้องเปิดเสรีต่อนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด ดังนั้น สำหรับไทยที่เป็นประเทศที่ค่อนข้างปิดในหมวดบริการ การเปิดเสรีนี้จะเป็นการบังคับให้ภาคธุรกิจบริการภายในประเทศต้องเปิดตลาด และอาจเผชิญ
การแข่งขันที่รุนแรงจากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจได้

อุตสาหกรรมเกษตร ที่จะเผชิญกับการแข่งขันที่มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากแคนาดาที่จะเข้ามาตีตลาดไทยหลังการเปิดเสรีด้านการค้า นอกจากนี้ CPTPP ยังมีข้อบัญญัติให้ประเทศสมาชิกต้องเข้าร่วมในอนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ หรือ UPOV (International Union for the Protection of New Varieties of Plants) ที่จะเปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถนำพันธุ์พืชพื้นเมืองไทยไปทำการวิจัยเพื่อสร้างพันธุ์พืชใหม่แล้วจดสิทธิบัตรได้ ข้อนี้
ส่งผลเสียต่อเกษตรกรไทยโดยตรง เพราะถ้านำพันธุ์พืชใหม่นี้มาปลูกแล้วจะไม่สามารถเก็บเมล็ดไปปลูกต่อได้เหมือน
เมื่อก่อน ต้องซื้อเมล็ดใหม่เท่านั้น ทำให้ต้นทุนการเกษตรยิ่งสูงขึ้น


แม้จะมีธุรกิจบางรายที่ต้องเสียประโยชน์ แต่ถ้ามองในระยะยาว การตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP น่าจะเป็นผลดีกับไทยมากกว่า เพราะจะกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนภายในประเทศปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบข้างต้นยังเป็นเพียงการประมาณการผลกระทบของ CPTPP ในเบื้องต้น จุดยืนของไทยอาจเปลี่ยนแปลงได้ หาก CPTPP ปรับกฎเกณฑ์เพื่อดึงสหรัฐฯ ให้กลับมาเข้าร่วม หรือมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมสำหรับประเทศสมาชิกใหม่ ซึ่งอีไอซีมองว่าเราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นหลังจากที่ CPTPP มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้น ความคืบหน้าของข้อตกลง CPTPP จึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไปสำหรับปีนี้

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ