SHARE
IN FOCUS
08 เมษายน 2011

หากการเจรจา FTA ไทย-EU ล่าช้า ธุรกิจไทยจะเสียเปรียบประเทศในอาเซียนแค่ไหน?

แม้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะเป็นกระแสที่มาแรงและได้รับความสนใจในปัจจุบัน แต่การเจรจาการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) กับประเทศอื่นๆ ก็ยังคงมีความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (EU 27 ประเทศ) ซึ่งเป็นตลาดที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกรวมเป็นอันดับ 2 รองจากตลาดอาเซียน ทั้งนี้หากการเจรจาล่าช้าออกไป จะส่งผลให้ไทยมีแนวโน้มเสียเปรียบประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่เจรจาเสร็จสิ้นไปแล้ว

ผู้เขียน:  เอกสิทธิ์ กาญจนาภิญโญกุล

479969021-[Converted].jpg

แม้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะเป็นกระแสที่มาแรงและได้รับความสนใจในปัจจุบัน แต่การเจรจาการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) กับประเทศอื่นๆ ก็ยังคงมีความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (EU 27 ประเทศ) ซึ่งเป็นตลาดที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกรวมเป็นอันดับ 2 รองจากตลาดอาเซียน ทั้งนี้หากการเจรจาล่าช้าออกไป จะส่งผลให้ไทยมีแนวโน้มเสียเปรียบประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่เจรจาเสร็จสิ้นไปแล้ว


EU เลือกเจรจา FTA กับกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นรายประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางการเมืองของพม่า เมื่อปี 2007 EU และอาเซียนได้ตัดสินใจเจรจา FTA ในกรอบระหว่างภูมิภาคด้วยกัน แต่จากผลการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 7 ในปี 2009 เกิดการถกประเด็นปัญหาทางการเมืองของประเทศพม่า ส่งผลให้ EU ตัดสินใจหยุดพักการเจรจาในกรอบภูมิภาคไป และหันมาเลือกที่จะเจรจา FTA เป็นรายประเทศแทน โดยปัจจุบันได้ตกลงเจรจา FTA กับสิงคโปร์แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2010 เจรจากับมาเลเซียแล้วในเดือนตุลาคม ปี 2010 และแสดงท่าทีพร้อมจะเจรจา FTA กับเวียดนาม และไทย 1 คำถามที่น่าสนใจ คือ เมื่อ EU ตัดสินใจเจรจาเป็นรายประเทศ หากไทยไม่เร่งเจรจาให้แล้วเสร็จ ธุรกิจไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน?

ในภาพรวมการส่งออกไปยัง EU คู่แข่งทางการค้าที่สำคัญที่สุด คือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม แม้ว่าเมื่อวัดจากมูลค่าการส่งออกไปยัง EU แล้ว อินโดนีเซียจะมีมูลค่าประมาณ 60% ของไทย และเวียดนามมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งของไทย แต่หากพิจารณาจากความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไปยัง EU 2 พบว่าไทยมีลักษณะสินค้าส่งออกที่แข่งขันกับเวียดนามและอินโดนีเซียมากที่สุด อีกนัยหนึ่ง คือ ประเภทธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกนั้นเป็นธุรกิจที่คล้ายกับ 2 ประเทศนี้มากที่สุด โดยพบว่ามีความสัมพันธ์กับอินโดนีเซียและเวียดนามมาก ที่ 46% และ 43% ตามลำดับ 3 ในขณะที่ประเทศที่ทำ FTA กับ EU แล้วอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ไม่สูงนักอยู่ที่ 15% และ 31% ตามลำดับ

สำหรับผลกระทบรายธุรกิจจะพิจารณาใน 2 มิติควบคู่กัน คือ สัดส่วนการส่งออกสินค้าไปยัง EU และความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในการส่งออก สัดส่วนการส่งออกที่สูงแสดงถึงการถือครองส่วนแบ่งตลาดที่มากกว่า ส่วนความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในการส่งออกแสดงถึงความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ผลการวิเคราะห์รายธุรกิจ 4 สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้



  • กลุ่มธุรกิจที่ไม่เสียโอกาสแม้จะเจรจาล่าช้า คือ ธุรกิจเนื้อสัตว์แปรรูป ธุรกิจผักผลไม้แปรรูป ธุรกิจเครื่องประดับและอัญมณี รถยนต์และส่วนประกอบ ธุรกิจผลิตข้าวกับธัญพืช และการผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ใน 5 ธุรกิจแรกนั้นเป็นธุรกิจที่ไทยถือครองส่วนแบ่งตลาดส่งออกไปยัง EU เกินกว่า 50% เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 ประเทศอาเซียนคู่ค้าหลักของ EU (ประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) และมีความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบสูงโดยเฉพาะธุรกิจเนื้อสัตว์และผักผลไม้แปรรูป สำหรับการผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องนั้น แม้ส่วนแบ่งการตลาดไทยจะใกล้เคียงกับมาเลเซียและฟิลิปปินส์ แต่เมื่อดูในรายละเอียดตัวสินค้าแล้วค่อนข้างมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงเรียกว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แข่งขันกันเอง โดยมูลค่าการส่งออกของ 6 ธุรกิจนี้คิดเป็นประมาณ 30% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดไป EU
  • กลุ่มธุรกิจที่ต้องเตรียมพร้อมรับความท้าทายกับคู่แข่งทางการค้า (อินโดนีเซียและเวียดนาม) คือ ธุรกิจส่งออกสัตว์น้ำและอาหารทะเล ธุรกิจผลิตเครื่องแต่งกายและรองเท้า และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องเรือน สำหรับธุรกิจส่งออกสัตว์น้ำและอาหารทะเล คู่แข่งสำคัญคือเวียดนามโดยเฉพาะกุ้งและปลาหมึกแช่แข็งที่มีมูลค่าการส่งออกใกล้เคียงกับของไทย อีกทั้งยังมีความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบที่สูงกว่าไทยด้วย ส่วนธุรกิจผลิตเครื่องแต่งกายและรองเท้าและการผลิตเครื่องเรือนนั้น แม้ความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกจะใกล้เคียงกันก็ตาม แต่ทั้ง 2 ประเทศมีความได้เปรียบเหนือไทยแง่ของสัดส่วนตลาด โดยเฉพาะสินค้าประเภทเสื้อยืด รองเท้ากีฬา และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยไม้
  • กลุ่มธุรกิจที่อาจเสียโอกาสจากประเทศที่เจรจา FTA แล้ว (สิงคโปร์และมาเลเซีย) คือ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจผลิตภัณฑ์จากพลาสติก และธุรกิจผลิตภัณฑ์จากยาง สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและเครื่องใช้ไฟฟ้า ในแง่มุมของความสามารถในการแข่งขันนั้นทั้ง 2 ประเทศไม่ได้แตกต่างจากไทยมากนัก แต่เนื่องด้วยเป็นกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าในการส่งออกสูงจึงมีโอกาสเสียประโยชน์ทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศได้ โดยเฉพาะสินค้าอุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ แผงวงจรไฟฟ้า และวงจรทางอิเล็กทรอนิกส์  ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์จากพลาสติกและยางนั้น คู่แข่งที่สำคัญคือประเทศมาเลเซียที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าไทย โดยเฉพาะสินค้าประเภทถุงพลาสติกปลอดเชื้อและถุงมือยาง

[1]  อ้างอิงจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กองยุโรปเพื่อไทย และ European Commission
[2]  ความสามารถแข่งขันในสินค้าส่งออกในที่นี้ วัดจาก Revealed Comparative Advantage: RCA index โดยใช้ข้อมูลสินค้าส่งออกตามรหัส HS ที่ 2 พิกัดล่าสุดในแต่ละประเทศ (ยึดเฉพาะมูลค่ารวมรายสินค้าที่ไทยมีการส่งออกตามรหัส HS ที่ 6 พิกัด) RCA index คำนวณจาก (exporti,j / exporti,total) / (exportw,j / exportw,total)โดยที่ export = มูลค่าการส่งออก, i = ประเทศ i, j = กลุ่มธุรกิจ j, total = ยอดรวมทั้งหมด และ w = โลก โดยค่า RCA index ที่มีค่ามากกว่า 1 หมายถึงมีความสามารถในการแข่งขันสูงโดยเปรียบเทียบ
[3]  ความสัมพันธ์ในที่นี้ใช้ RCA index Spearman's Rank Correlation ระหว่าง 2 ประเทศ ในการวิเคราะห์ ซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง -100% ถึง 100% หากมีค่าเป็นบวกหมายถึงทั้ง 2 ประเทศมีความสามารถในการส่งออกที่แข่งขันกัน ส่วนค่าลบแสดงถึงความสามารถการส่งออกที่เกื้อหนุนกัน
[4]  จัดกลุ่มรายธุรกิจตามรหัส HS ที่ 2 พิกัด เฉพาะ 15 ธุรกิจที่มีมูลค่าส่งออกสูงที่สุดจากไทยไป EU ซึ่งคิดเป็น 85% ของการส่งออกทั้งหมด

Implication.png

886_20100622103105.gif

  • แม้ FTA ระหว่าง EU กับสิงคโปร์หรือมาเลเซียอาจจะมีผลบังคับใช้ก่อนไทย แต่ผลกระทบในระยะสั้นต่อภาพรวมธุรกิจไทยคงมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ผลกระทบจะอยู่กับธุรกิจผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ แม้สิงคโปร์และมาเลเซียเป็นประเทศในอาเซียน 2 อันดับแรกที่ส่งออกไปยัง EU สูงที่สุด แต่มีโครงสร้างความสามารถในการส่งออกแตกต่างกับประเทศไทย หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ภาพรวมของสินค้าส่งออกไม่ได้แข่งขันกันเอง นอกจากนี้ผลกระทบจากการเสียโอกาสทางการค้าจะเป็นเพียงระยะสั้นเฉพาะในช่วงที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ก่อนที่การเจรจา FTA ของไทยจะมีผลเท่านั้น

  • จากนี้ไปควรจับตามองความคืบหน้าการเจรจากับประเทศเวียดนามมากที่สุด
    2 ประเทศที่มีโครงสร้างความสามารถการส่งออกคล้ายคลึงกับไทยมากที่สุด คือ อินโดนีเซียกับเวียดนาม แต่เนื่องด้วยทั้ง EU และเวียดนามได้ส่งสัญญาณว่าพร้อมเจรจากันอย่างชัดเจน ในขณะที่อินโดนีเซียยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ดังนั้น ณ ขณะนี้ จึงเรียกได้ว่าเวียดนามเป็นประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการค้ากับ EU ที่สำคัญที่สุดของไทย โดยธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบมาก คือ ธุรกิจส่งออกสัตว์น้ำและอาหารทะเล ธุรกิจผลิตเครื่องแต่งกายและรองเท้า และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องเรือน

 2138_20110408141122.jpg

 2139_20110408141130.jpg

2140_20110408141133.jpg

Get the additional info

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ