การเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะกระทบต่อผู้ผลิตในไทยแค่ไหน?
ผลกระทบต่อผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าจากการทำ FTA คงมีไม่มากนัก เนื่องมาจากความแตกต่างของประเภทสินค้าระหว่างผู้ผลิตในประเทศและการนำเข้า
ผู้เขียน: เอกสิทธิ์ กาญจนาภิญโญกุล
ผลกระทบต่อผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าจากการทำ FTA คงมีไม่มากนัก เนื่องมาจากความแตกต่างของประเภทสินค้าระหว่างผู้ผลิตในประเทศและการนำเข้า FTA กว่า 10 ฉบับที่มีผลบังคับใช้ไปแล้ว ยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากนัก เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากประเทศคู่ค้า FTA มีสัดส่วนของมูลค่านำเข้าไม่ถึง 1 ใน 5 เท่านั้น ปัจจุบันประเทศไทยได้ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่าน WTO ไว้ตั้งแต่ 54-60% นับเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงมาก แต่ภายหลังจาก FTA มีผลบังคับใช้แล้ว อัตราภาษีนำเข้าจะปรับลดลงเหลือ 0% อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีนำเข้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ปรับลดลงมาไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่าไรนัก เนื่องมาจากสัดส่วนการนำเข้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากกลุ่มประเทศที่ไทยทำ FTA ไว้มีสัดส่วนราว 18% หรือคิดเป็นมูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (รูปที่ 1) จากมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด 247 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2010 โดยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าจากประเทศคู่ค้า FTA ส่วนใหญ่ คือเบียร์จากกลุ่มประเทศอาเซียน และไวน์จากออสเตรเลีย ทั้งนี้ ควรจับตาดูการเจรจา FTA ไทย - สหภาพยุโรป ที่กำลังจะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 3 ใน 4 ของมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมดของไทย ปัจจุบันมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากสหภาพยุโรปมีมูลค่าสูงถึง 184 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 74% ของมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นตลาดสินค้านำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นที่มาของข้อถกเถียงในการเจรจา FTA ไทย - สหภาพยุโรป ในประเด็นของความเหมาะสมในการนำเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มสินค้าที่จะมีการปรับลดภาษี โดยประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไทยนำเข้าจากสหภาพยุโรปมากที่สุดคือ วิสกี้ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 141 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลำดับรองลงมาคือไวน์ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากผลของ FTA ไทย - สหภาพยุโรป ราคาขายของสุรานำเข้ามีโอกาสปรับลดราว 50-100 บาทต่อขวด ส่งผลให้ผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น เมื่อพิจารณาจากราคาขายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (รูปที่ 2) พบว่าสุรานำเข้าจากสหภาพยุโรปจะมีราคาสูงกว่าสุราที่ผลิตในประเทศประมาณ 1.5 - 2.5 เท่า โดยจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีคุณลักษณะเดียวกันและระดับสินค้าใกล้เคียงกัน หากผลิตในประเทศจะมีราคาขายประมาณ 300 บาท แต่ราคานำเข้าจะอยู่ที่ราว 500 บาท หากมีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าให้เหลือ 0% ราคาของสุรานำเข้าจะลดลงมาราว 50 - 100 บาท ทำให้ส่วนต่างของราคาสุราที่ผลิตในประเทศและสุรานำเข้าใกล้กันมากขึ้น แม้ว่าราคาสุรานำเข้ายังคงขายที่สูงกว่าสุราที่ผลิตในประเทศ แต่ผู้บริโภคยังคงมีโอกาสเลือกซื้อสุรานำเข้ามากยิ่งขึ้น เนื่องมาจากคนไทยมีพฤติกรรมการดื่มที่ค่อนข้างสูงมากโดยเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน (รูปที่ 3) และนิยมบริโภคสุราราคาถูกมากกว่า ดังนั้นการดื่มสุราของคนไทยจึงมีแนวโน้มที่จะบริโภคสูงขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามสุรานำเข้าก็ยังคงมีสัดส่วนเพียง 3-4% ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมด จึงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตมากนักในระยะสั้น แม้ว่าการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะขยายตัวสูงกว่าปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์1 แต่เมื่อพิจารณาจากปริมาณนำเข้าและการจำหน่ายของปี 2010 แล้ว พบว่ามีการนำเข้าเพียง 80 ล้านลิตร จากปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมดในประเทศไทยที่ 2,439 ล้านลิตร คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3-4% ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมด ถึงแม้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกบรั่นดีหรือไวน์ที่มีราคาสูงกว่าเบียร์หรือเหล้าขาวที่ผลิตในประเทศก็ตาม หากพิจารณาโดยคร่าวจากราคาของบรั่นดีที่มีราคาแพงกว่าเบียร์ราวๆ 7-10 เท่าแล้ว ก็ยังคงพบว่ามูลค่าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าก็ยังคงแตกต่างจากมูลค่าการจำหน่ายในประเทศอยู่อีกมาก 1 อ้างอิงจาก กรมสรรพสามิต และรายงานสถานการณ์สุราประจำปี พ.ศ. 2553 จัดทำโดย ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา |
![]() |
|
|||
|