SHARE
SCB EIC ARTICLE
27 กรกฏาคม 2017

เศรษฐกิจกำลังฟื้น แล้วแรงงานไทยเมื่อไหร่จะฟื้น?

ผู้เขียน: กระแสร์ รังสิพล

เผยแพร่ในประชาชาติ วันที่ 27 กรกฎาคม 2017

 

Thumb_20170801.jpg

 

 

ช่วงนี้หลายสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังมองภาพเศรษฐกิจไทยในแง่บวกมากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากการออกมาปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเห็นการฟื้นตัวในหลายๆ ด้านของการใช้จ่าย ทั้งการส่งออกสินค้าที่เติบโตดีกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรก็ฟื้นตัว การท่องเที่ยวก็กลับมาขยายตัว ด้านยอดขายรถในประเทศก็เพิ่มขึ้นมากจากปีก่อน

 

แต่ในขณะที่เศรษฐกิจในฝั่งการใช้จ่ายกำลังขยายตัวนั้น เมื่อไปมองในฝั่งตลาดแรงงานเรากลับเห็นภาพที่ค่อนข้างขัดแย้ง ยอดการจ้างงานในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 ยังคงหดตัวต่อเนื่องโดยลดลงราว 2.1 แสนคน หรือคิดเป็น -0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อความต้องการแรงงานลดน้อยลงก็ส่งผลให้ค่าจ้างโดยเฉลี่ยในช่วงเดียวกันก็ลดลงเช่นกันที่ราว -0.7% เหตุการณ์ดังกล่าวนี้จึงทำให้เกิดเป็นข้อสงสัยว่าทำไมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจถึง(ยัง)ไม่นำไปสู่การขยายตัวของตลาดแรงงาน?

 

มีหลายความเห็นกล่าวโทษไปถึงการนำหุ่นยนต์มาใช้หรือการหันไปจ้างคนต่างด้าวที่ทำให้แรงงานไทยตกงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่เห็นหลักฐานที่รองรับกับประเด็นดังกล่าวเท่าใดนัก เพราะเมื่อไปดูตัวเลขสถิติแรงงานต่างด้าวจากกรมการจัดหางานในช่วงเดียวกันก็พบว่าจำนวนแรงงานต่างด้าวก็ลดลงเช่นกัน โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีลดลงเฉลี่ย 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งถือว่าลดลงในอัตราที่มากกว่าแรงงานไทยเสียด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกันการหายไปของการจ้างงานก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มอาชีพงานที่สามารถทดแทนได้ด้วยหุ่นยนต์เท่านั้น จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าการจ้างงานในช่วง 4 เดือนแรกลดลงทั้งในกลุ่มแรงงานใช้ฝีมือและแรงงานขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ การที่ภาคเอกชนไม่ได้ขยายการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมาเป็นเวลานานก็เป็นอีกเครื่องบ่งชี้ว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตก็คงไม่ได้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วมากนักในช่วงที่ผ่านมา

 

ผมคิดว่าการฟื้นตัวแบบไร้การจ้างงานที่เห็นอยู่ในปัจจุบันกลับน่าจะมีสาเหตุสำคัญมาจากลักษณะของการฟื้นตัวในปัจจุบันที่ยังไม่ได้ส่งผลดีต่อตลาดแรงงานโดยตรงมากนัก เพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้ใช้แรงงานในการผลิตมาก เช่น กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวถึง 10% แต่การผลิตนั้นกลับมีสัดส่วนต้นทุนแรงงานต่อต้นทุนรวมเพียง 4% เช่นเดียวกันกับกลุ่มพลังงานและกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่ก็มีการขยายตัวด้านการส่งออกในระดับสูงที่ 40% และ 12% ตามลำดับ แต่กลับใช้แรงงานน้อยโดยมีต้นทุนแรงงานต่อต้นทุนรวมเพียง 2% และ 8% ตามลำดับ นอกจากนี้ กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเองส่วนใหญ่ก็ยังคงมีเหลือเพียงพอทำให้ทรัพยากรในปัจจุบันสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อในช่วงเริ่มฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องลงทุนหรือจ้างงานเพิ่ม

 

ส่วนในภาคเกษตรกรรมเองก็มีลักษณะการฟื้นตัวที่ไม่ตกถึงแรงงานส่วนใหญ่เช่นกัน กล่าวคือ มีเพียงสินค้าเกษตรบางชนิดเท่านั้นที่มีราคาที่เติบโตสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนทำให้เกษตรกรในกลุ่มดังกล่าวพอจะลืมตาอ้าปากได้ สินค้าเหล่านั้นได้แก่ ยางพารา อ้อย ปาล์ม แต่สินค้าเหล่านี้ใช้แรงงานเกษตรกร 3 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 1 ใน 4 ของแรงงานในภาคเกษตรเท่านั้น ขณะที่พืชอย่างข้าว ข้าวโพดและมันสำปะหลังที่ใช้แรงงานจำนวนมากถึงราว 6 ล้านคนหรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของแรงงานในภาคเกษตรทั้งหมด ยังคงเผชิญกับสภาวะราคาตกต่ำเช่นเดิม 

 

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ขาดหายไปที่ทำให้ตลาดแรงงานดูซบเซาลงในช่วงที่ผ่านมาก็คือแรงกระตุ้นของภาครัฐ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรการของภาครัฐในช่วงปีที่ผ่านมามีส่วนสำคัญทั้งในทางตรงและทางอ้อมต่อสภาวะตลาดแรงงานของไทย ในทางตรงภาครัฐได้อัดฉีดเม็ดเงินขนาดใหญ่กระจายไปตามต่างจังหวัดผ่านทั้งมาตรการลงทุนขนาดเล็ก มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ทั้งระดับหมู่บ้านและตำบล รวมๆ กันแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท ซึ่งนับว่าก่อให้เกิดการจ้างงานในภาคการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่แล้ว ประกอบกับภาครัฐยังได้มีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ผ่านการลดค่าธรรมเนียมการโอนที่มีผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายต่างๆ เร่งสร้างโครงการเพื่อให้ทันใช้สิทธิ์มาตรการดังกล่าว ซึ่งส่งผลทางอ้อมให้ความต้องการแรงงานก่อสร้างในภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เมื่อภาครัฐเริ่มถอนคันเร่งการกระตุ้นผ่านมาตรการในลักษณะดังกล่าวลงหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ความต้องการแรงงานก่อสร้างทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนจึงลดหายไปตามกัน เป็นเหตุให้ภาคการก่อสร้างเป็นภาคที่มีการลดลงของการจ้างงานมากที่สุดในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ คือหายไปราว 2.9 แสนคนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

อย่างไรก็ดี ผมมองว่าส่วนที่ยังคงหล่อเลี้ยงตลาดแรงงานไทยในช่วงนี้ก็คือภาคบริการ (ที่ไม่รวมการก่อสร้าง)  เพราะธุรกิจหลายประเภทยังขยายตัว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการค้าส่งค้าปลีก นักท่องเที่ยวต่างชาติยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกยังมีแผนขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ธุรกิจด้านการขนส่งก็ยังเติบโตตามการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการค้าขายแบบอีคอมเมิร์ซ ซึ่งธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้แรงงานในการขับเคลื่อนทั้งสิ้น แต่กระนั้นก็ดีการขยายตัวของการจ้างงานในภาคบริการก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยกับการลดลงของการจ้างงานในภาคอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้

 

และนอกจากความซบเซาของตลาดแรงงานบ้านเราในช่วงนี้ที่มีแรงฉุดมาจากฝั่งอุปสงค์อย่างที่ผมได้กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นแล้ว อีกสาเหตุที่ผมคิดว่าน่ากังวลไม่น้อยไปกว่ากันคือข้อจำกัดในฝั่งอุปทานของแรงงานจากความไม่สอดคล้องกันระหว่างทักษะแรงงานกับความต้องการของนายจ้าง (skill mismatch) เมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา ทางอีไอซีเคยทำการสำรวจบริษัทจำนวน 222 รายใน 6 อุตสาหกรรมหลักเกี่ยวกับประเด็นแรงงาน ซึ่งการสำรวจนั้นพบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจนั้นประสบปัญหาจากการที่ไม่สามารถหาแรงงานได้เพราะทักษะแรงงานไม่สอดคล้องกับความต้องการของบริษัท ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้เกิดการว่างงานได้แม้ตลาดจะมีความต้องการแรงงานอยู่ก็ตาม ซึ่งผมคิดว่านี่อาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมและแรงงานก่อสร้างที่ตกงานในช่วงนี้ไม่สามารถหางานในภาคบริการที่กำลังขยายตัวได้

 

แล้วแรงงานไทยเมื่อไหร่จะฟื้น? ผมมองว่าแรงฉุดจากฝั่งอุปสงค์ต่อแรงงานน่าจะผ่อนคลายลงเป็นลำดับในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จากการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่จากงบกลางของภาครัฐที่น่าจะทำให้ความต้องการแรงงานก่อสร้างกลับมาคึกคัก และหากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสามารถยืนระยะไปต่อได้ ความต้องการแรงงานในภาคการผลิตก็น่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยทำให้ตลาดแรงงานไทยกลับมาฟื้นได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวตลาดแรงงานไทยน่าจะยังติดขัดกับปัญหาทางฝั่งอุปทานที่ไม่น่าจะคลี่คลายได้เร็วนัก เนื่องจากปัญหาทักษะแรงงานที่ไม่สอดคล้องต้องอาศัยการฝึกอบรมแรงงานและการปรับระบบการศึกษาให้เอื้ออำนวยต่อความต้องการของนายจ้างมากขึ้นซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลานานในทางปฏิบัติ ทำให้ยังมีความเสี่ยงที่แรงงานบางส่วนอาจตกงานได้แม้แรงฉุดจากฝั่งอุปสงค์จะผ่อนคลายลงก็ตาม

 

ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันอุตสาหกรรมใหม่เพื่อหา New S-Curve ของเศรษฐกิจไทย ผมคิดว่าปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะนี้ยิ่งจะเด่นชัดขึ้นไปอีก เพราะธุรกิจในอุตสาหกรรมใหม่ล้วนแล้วแต่ต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ไม่ต้องพูดถึงทักษะพื้นฐานอย่างการคิดวิเคราะห์หรือความสามารถด้านภาษาต่างประเทศที่จำเป็นต้องใช้ในธุรกิจปัจจุบันอยู่แล้ว คำถามสำคัญที่เราต้องตอบให้ได้คือไทยจะเตรียมความพร้อมอย่างไรในด้านแรงงานเพื่อที่จะรองรับการเติบโตในอนาคตที่ทักษะแรงงานจะเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต เพราะการมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่มีความพร้อมในด้านแรงงานนั้นจะทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้ยากลำบากหรือกระทั่งไม่อาจดึงดูดธุรกิจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ได้อย่างที่เราหวังเอาไว้ ที่น่าเป็นห่วงคือแรงงานที่ไม่เป็นที่ต้องการของนายจ้างก็จะต้องตกงานเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ปัญหาความซบเซาด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อไป ผมกลัวว่าปัจจัยแรงงานนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวอยู่นี้กลับมาสะดุดลงก็เป็นได้

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ