SHARE
IN FOCUS
20 กรกฏาคม 2010

ราคาเหล็กในตลาดโลกผันผวน กระทบต้นทุนของธุรกิจต่างๆ มากน้อยเพียงใด ?

แม้ว่าราคายางพาราในปี 2010 จะดีดตัวสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2010 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 40% จากในช่วงปลายปี 2009 มาอยู่ที่ 130 บาทต่อกก. แต่จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทำให้คาดว่าราคายางพาราในช่วงครึ่งหลังของปี 2010 ไม่น่าจะสูงเกินกว่า 130 บาทต่อกก.

ผู้เขียน:   ณัฐชยา อารักษ์วิชานันท์

Steel_153639972.jpg

 

ราคาเหล็กทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอลงจากอุปทานส่วนเกินในตลาดโลกและความต้องการเหล็กในจีนที่ชะลอลง แต่ในระยะปานกลางถึงระยะยาวคาดว่า ราคาเหล็กยังคงมีแนวโน้มผันผวนสูง ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตพบว่า ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และธุรกิจผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการเกษตรเป็นกลุ่มที่จะได้ผลกระทบโดยรวมจากความผันผวนของราคาเหล็กมากที่สุด

ราคาเหล็กทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอลง เป็นผลจากอุปทานส่วนเกินในตลาดโลกและความต้องการใช้เหล็กในจีนที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงที่ผ่านมา ราคาเหล็กทั่วโลกเริ่มมีทิศทางที่ชะลอลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก ถ่ายเทผลผลิตส่วนเกินในประเทศออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาราคาเหล็กในประเทศตกต่ำ รวมทั้งการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของผู้ผลิตเหล็กในประเทศแถบยุโรปตะวันออกเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมเหล็กกล้าโลก (World Steel Association) ระบุว่า ปริมาณผลผลิตเหล็กกล้าทั่วโลกโดยเฉลี่ยในปี 2010 จะอยู่ที่ 1,500 ล้านเมตริกตัน หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2009 เทียบกับปริมาณความต้องการเหล็กทั่วโลกซึ่งคาดไว้ที่ 1,300 ล้านเมตริกตัน สะท้อนให้เห็นภาวะอุปทานส่วนเกินในตลาดโลก นอกจากนี้ นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนยังได้ออกมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อสำหรับการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์บางประเภท รวมทั้งมาตรการควบคุมการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ เพื่อชะลอภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมาตรการดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เหล็กประเภทต่างๆ ชะลอลง เห็นได้ชัดเจนจากยอดการนำเข้าสินแร่เหล็กของจีนในเดือนมิถุนายน 2010 ที่ปรับลดลง 9% จากระยะเดียวกันปีก่อน (อัตราการใช้สินแร่เหล็กของจีนมีสัดส่วนประมาณ 70% ของอัตราการใช้สินแร่เหล็กทั่วโลก)

อย่างไรก็ดี ในระยะปานกลางถึงระยะยาว ราคาเหล็กในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มผันผวนสูงตามอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการเหล็กจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีนและอินเดีย รวมไปถึงความผันผวนจากการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และมีผลต่อทิศทางราคาเหล็กในตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  


ธุรกิจก่อสร้างอาคารและระบบสื่อสาร และการก่อสร้างเขื่อนและโครงการชลประทานต่างๆ เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบทางตรง (direct cost) จากการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กเป็นปัจจัยการผลิตสูงที่สุด ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (input-output table) พบว่า ธุรกิจก่อสร้างอาคารและระบบสื่อสาร และการก่อสร้างงานบริการสาธารณะทางด้านการเกษตรและป่าไม้ เช่น การก่อสร้างเขื่อนและโครงการชลประทานต่างๆ เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็ก (secondary steel products) เป็นปัจจัยการผลิตโดยตรง (direct cost) ต่อต้นทุนรวมของภาคธุรกิจสูงที่สุดคือ ประมาณ 27% ของต้นทุนรวมทั้งหมด รองลงมาได้แก่ ธุรกิจผลิตรถจักรยานยนต์และรถจักรยานที่มีผลิตภัณฑ์เหล็กเป็นต้นทุนโดยตรงประมาณ 22% ดังนั้น หากราคาเหล็กในตลาดโลกเปลี่ยนแปลงจะกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตของธุรกิจเหล่านี้ค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาผลกระทบโดยรวมจากราคาเหล็กต่อต้นทุน (total cost) ทั้งผลกระทบทางตรงและผลกระทบทางอ้อม (indirect cost) ด้วยแล้ว จะพบว่า ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และธุรกิจผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการเกษตร เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบโดยรวมจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กมากที่สุด นอกเหนือไปจากการวิเคราะห์ผลกระทบจากการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กเป็นปัจจัยการผลิตโดยตรงแล้ว หากเราพิจารณาผลกระทบทางอ้อมจากราคาเหล็กซึ่งเกิดจากการใช้ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นปัจจัยการผลิต ซึ่งในแต่ละผลผลิตเหล่านั้นมีการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กเป็นปัจจัยการผลิตร่วมด้วยแล้ว พบว่า ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตเครื่องยนต์และใบพัด และธุรกิจผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการเกษตร เช่น อุปกรณ์หว่านและเก็บเกี่ยว เป็นสองกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยรวมจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กในตลาดโลกมากที่สุด เนื่องจากมีสัดส่วนของต้นทุนธุรกิจที่เกิดจากการใช้เหล็กเป็นปัจจัยการผลิตทั้งในส่วนของผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมรวมกันแล้วถึงประมาณ 41% ของต้นทุนรวม อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางอ้อมจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กนี้อาจจะไม่ได้กระทบกับธุรกิจในทันที ขึ้นอยู่กับว่าราคาของปัจจัยการผลิตที่ใช้นั้นมีการปรับราคาไปตามราคาเหล็กที่เปลี่ยนแปลงไปในทันทีหรือไม่



1235_20100803142748.jpg


1236_20100803142750.jpg

 

 

 

Implication.png

886_20100622103105.gif

การที่ประเทศไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมผลิตเหล็กต้นน้ำในประเทศ และจำเป็นต้องนำเข้าเหล็กกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลางและขั้นปลายนั้น ทำให้ไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากความผันผวนของราคาเหล็กในตลาดโลก และส่งผลกระทบต่อต้นทุนของธุรกิจในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจที่มีสัดส่วนต้นทุนเหล็กต่อต้นทุนรวมสูง ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถพัฒนาให้โครงการอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำเกิดขึ้น รวมทั้งมีการต่อยอดไปสู่การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และระบบคมนาคมขนส่งในประเทศ น่าจะช่วยให้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ลดลงและลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ รวมทั้งช่วยลดระยะเวลาในการสั่งซื้อและรอวัตถุดิบจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ละภาคจเหมืองแร่เหล็ก าคาเหล็กนๆ พบว่า -ละทางอ้อมหล็กจ็กยังเป็นการช่วยสนับสนุนให้ภาค อุตสาหกรรมของไทยมีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีโลกมากยิ่งขึ้นด้วย

 



 

Get the additional info

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ