Border Adjustment Tax: ทางเลือกนโยบายการค้าแบบใหม่ของสหรัฐฯ
ผู้เขียน: วิรันต์ภรณ์ โรจนวิภาตวนิช
เผยแพร่ในนิตยสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนเมษายน 2017
House Republicans are proposing a major reform called a border adjustment tax. President Trump was against it, but he's warming up to it.
|
ในช่วงที่ผ่านมา นาย Paul Ryan ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และหนึ่งในผู้นำพรรค Republican ได้ออกมาผลักดันการปรับโครงสร้างภาษีแบบ Border Adjustment Tax หรือ BAT ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ตอบโจทย์นโยบายหาเสียง “America First” ของประธานาธิบดี Trump
ทว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2017 ที่ผ่านมา นาย Gary Cohn หัวหน้าที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump ได้กล่าวว่าระบบการปรับภาษีดังกล่าวไม่ได้รับการสนับสนุนจากทำเนียบขาว อย่างไรก็ตาม รูปแบบของภาษีดังกล่าวยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะถูกนำมาใช้ และอาจมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางประการ
America First คือ สโลแกนที่ประธานาธิบดี Trump ใช้ในการหาเสียง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ของคนอเมริกัน ที่เน้นให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศ เพิ่มการส่งออก ลดการนำเข้า และลดการขาดดุลทางการค้า |
Border Adjustment Tax (BAT) คืออะไร
BAT ในที่นี้แตกต่างจาก Tariff โดยTariff นั้นคือ ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้าหรือส่งออก ในขณะที่ BAT เป็นระบบการเรียกเก็บภาษีรายได้ที่พิจารณาถึงที่มาของสินค้าและบริการ โดยโครงสร้างภาษี BAT จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1) รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการนำเข้าวัตถุดิบจะไม่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ขณะที่รายจ่ายหากเกิดจากวัตถุดิบในประเทศจะสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษี ดังตัวอย่างเช่น
2) รายได้หากมาจากการจำหน่ายสินค้าในประเทศจะถูกนำมาคำนวณเพื่อเรียกเก็บภาษี แต่หากรายได้ดังกล่าวมาจากการจำหน่ายสินค้านอกประเทศจะได้รับการยกเว้นภาษี ดังตัวอย่างเช่น
จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นได้ว่า BAT เป็นวิธีการที่ช่วยลดการนำเข้า และส่งเสริมให้หันมาลงทุน ผลิต และใช้ทรัพยากรภายในประเทศ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ส่งออกสหรัฐฯ แข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น นอกจากนี้ ข้อดีอีกประการที่สำคัญคือ ลดการขาดดุลทางการค้า และเพิ่มรายได้ของรัฐบาลกลาง ทำให้สามารถลดอัตราภาษีนิติบุคคลโดยรวม และนำเงินไปใช้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
BAT ขัดต่อกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) ?
หลังจากที่ BAT ถูกเสนอขึ้นมาได้ไม่นาน แม้ว่าจะมีผู้มีอำนาจทางการเมืองของสหรัฐฯ บางคนให้การสนับสนุน แต่ก็ยังมีอีกหลายฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงหลักการของระบบดังกล่าวที่อาจขัดต่อกฎของ WTO โดยสำนักข่าว Reuters รายงานว่า ทนายความด้านการค้าผู้ที่มีประสบการณ์ในคดีข้อพิพาท WTO จำนวน 6 คน กล่าวตรงกันว่า BAT เป็นการสนับสนุนสินค้าภายในประเทศที่ผิดกฎหมาย WTO โดยเป็นการเอาเปรียบสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ นาย Michale Knoll ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์และผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายภาษีและนโยบายแห่งมหาวิทยาลัย Pennsylvania ก็ได้กล่าวในรายการวิทยุว่า BAT เอื้อประโยชน์ต่อการส่งออกของสหรัฐฯ และกีดกันการนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ หากพรรค Republican นำระบบนี้มาใช้จริงก็อาจจะถูกตอบโต้จากนานาประเทศ เช่น สหภาพยุโรป และจีน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากจะสรุปว่า BAT ที่พรรค Republican เสนอนั้นผิดต่อกฎของ WTO ในตอนนี้นั้นคงจะเร็วเกินไป เพราะด้วยรายละเอียดของนโยบายดังกล่าวในปัจจุบันนั้นอาจมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่าง ซึ่งยังต้องติดตามต่อไป
ใครได้เปรียบและเสียเปรียบจาก BAT ในสหรัฐฯ ?
การนำแนวคิด BAT มาใช้นั้น แม้ว่าจะตอบโจทย์หลายๆ อย่างของนโยบายหาเสียง “American First” และดูเหมือนว่าเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ แต่มองข้ามไม่ได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นมีการพึ่งพาสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศค่อนข้างมาก อีกทั้งธุรกิจที่ดำเนินกิจการในสหรัฐฯ นั้นแต่ละรายมีสัดส่วนการนำเข้าและส่งออกสินค้าที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นแนวคิดดังกล่าวจึงก่อให้เกิดผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และเสียประโยชน์ในเวลาเดียวกัน
โดยแนวคิด BAT นี้จะเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจส่งออกที่ผลิตสินค้าในประเทศ และธุรกิจที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้ามากกว่าการนำเข้า เช่น บริษัทที่ผลิตเครื่องบิน อย่าง Boeing และ United Technology ที่มียอดขายมาจากการส่งออกสุทธิ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทที่ส่งออกยาและเครื่องมือแพทย์ อย่าง The Dow Chemical, Pfizer, Eli Lilly และ Cook Medical รวมถึงบริษัทเทคโนโลยี เช่น Oracle และ Qualcomm ที่ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน
ในขณะเดียวกันหากกล่าวถึงผู้ที่เสียผลประโยชน์ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากธุรกิจที่มีสัดส่วนการนำเข้าสินค้ามากกว่าการส่งออกและไม่สามารถหาวัตถุดิบภายในประเทศในราคาถูกได้ ซึ่งข้อมูลจาก Financial Times เผยถึงบทสัมภาษณ์ของนาย Rick Woldenberg ประธานบริษัท Learning Resources ผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สำหรับการเรียนรู้ของเด็กตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับประถมวัย ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศต่างๆ มากกว่า 80 ประเทศ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศประมาณ 98% และสินค้าส่วนใหญ่นั้นเป็นสินค้าที่มาจากจีน โดยนาย Woldenberg กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่สามารถผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ได้ว่าเป็นเพราะต้นทุนการผลิตสินค้ามีราคาสูง และทักษะที่จำเป็นต่อการผลิตนั้นไม่สามารถหาได้ในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกและอาจจะต้องเสียภาษีนำเข้าที่สูงถึง 165% ของรายได้ ทั้งนี้ นาย Woldenberg ได้ทำการประเมินโดยคร่าวๆ ว่าหากจะต้องรักษาระดับเงินหมุนเวียนในบริษัทแล้ว เขาต้องตั้งราคาสูงขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดขายลดลงถึง 40% อีกทั้งอาจต้องเลิกจ้างพนักงานประมาณ 1 ใน 5 ของบริษัท นอกจากนี้ อีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบจาก BAT คือ บริษัท Apple ที่มีฐานการผลิต iphone อยู่ในจีน โดยต้นทุนการผลิต iphone นั้นจะไม่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งทำให้กำไรต่อหุ้นของ Apple ลดลง
นอกจากตัวอย่างดังกล่าวแล้ว จะพบว่าบริษัทที่นำเข้าเครื่องนุ่งห่มและค้าปลีก เช่น Gap, Ralph Lauren, Nike, Walmart, Target, JCPenney ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากมีสัดส่วนการนำเข้าสุทธิของเครื่องนุ่งห่มต่อยอดขายในสหรัฐฯ ที่สูงถึงราว 62% ของยอดขาย
แล้วผลกระทบต่อไทยเป็นอย่างไร?
ตามหลักการและโครงสร้างของ BAT นั้น ประเทศที่จะได้รับผลกระทบคงไม่ได้มีเพียงประเทศที่สหรัฐฯ ขาด ดุลการค้าสูง อย่างจีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และเม็กซิโกเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกประเทศที่ส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐฯ ซึ่งนั่นรวมถึงไทย ที่มีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ราว 11% ของตลาดส่งออกทั้งหมด
ผลกระทบต่อไทยนั้นคงไม่ต่างจากสหรัฐฯ ที่มีทั้งผู้เสียผลประโยชน์และได้รับผลประโยชน์ โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านลบ คือ ธุรกิจไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ หรือเป็นห่วงโซ่อุปทานไปยังตลาดสหรัฐฯ เช่น ธุรกิจส่งออกสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ เป็นเพราะเมื่อสินค้าไทยถูกส่งออกไปบริษัทที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีนำเข้า ทำให้สินค้าไทยมีราคาแพงและไม่สามารถแข่งขันกับตลาดภายในประเทศได้ หรือหากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าห่วงโซ่อุปทานก็จะได้รับผลกระทบจากการสั่งซื้อเพื่อไปผลิตเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่ชะลอลง นอกจากนี้ ความเสี่ยงสำคัญอีกประการที่อาจเกิดขึ้น คือ การที่บริษัทที่มีการผลิตสินค้าในไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ อาจเลือกย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ โดยอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่การลงทุนภาคเอกชนเพิ่งจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่สินค้าไทยที่แข่งขันกับ สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เพราะสินค้าสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่จะมีราคาที่ถูกลง แต่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคมองว่ามีคุณภาพและได้มาตรฐานกว่าสินค้าไทย เช่น ยา เป็นต้น
ทั้งนี้ ผลประโยชน์ต่อไทยหากสหรัฐฯ เลือกใช้ BAT เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น จะตกไปสู่ธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างธุรกิจสายการบิน ที่นำเข้าเครื่องบินและส่วนประกอบ และธุรกิจที่นำเข้าธัญพืช ฝ้าย และเครื่องมือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยการที่สหรัฐฯ ยกเว้นภาษีส่งออกสินค้าดังกล่าว จะทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้ามีราคาที่ถูกลง ส่งผลให้ธุรกิจที่นำเข้าสินค้านั้นมีกำไรเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโอกาสที่ BAT จะเกิดขึ้นนั้นลดลง แต่ด้วยโครงสร้างภาษีดังกล่าวที่มีความน่าสนใจและตอบโจทย์นโยบายของประธานาธิบดี Trump อยู่หลายประการ จึงมีความเป็นไปได้ที่ภาษีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ BAT จะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการที่มีการส่งออกหรือนำเข้าสินค้าต้องติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด