SHARE
IN FOCUS
01 เมษายน 2010

ฤๅ การกีดกันทางการค้าจะกลับมาอีกครั้ง?

ในไตรมาส 2 นี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะรายงานต่อรัฐสภาว่าในครึ่งปีที่ผ่านมา มีประเทศใดบิดเบือนค่าเงินหรือไม่ ตามกฎหมายสหรัฐฯ กำหนดให้กระทรวงการคลัง (โดยการปรึกษากับ IMF) รายงานต่อรัฐสภาฯ ทุก 6 เดือนว่ามีประเทศใดที่บิดเบือน (manipulate) ค่าเงินตนเองเทียบกับดอลลาร์สรอ. เพื่อให้ผู้ส่งออกของตนมีความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งรายงานดังกล่าวมีกำหนดแถลงต่อสภา Congress ประมาณวันที่ 15 เมษายน (ในอดีตเคยล่าช้าถึงเดือน มิถุนายน) ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้กระทรวงการคลังพิจารณาจากประเทศที่ (1) มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างมากและ (2) เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากมีการระบุว่ามีประเทศใดบิดเบือนค่าเงิน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะต้องเร่งเจรจาทั้งในระดับทวิภาคีและระดับองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อกดดันให้ประเทศดังกล่าวยุติการบิดเบือนค่าเงิน

ผู้เขียน:  พรเทพ ชูพันธุ์

156279982.jpg

ในไตรมาส 2 นี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะรายงานต่อรัฐสภาว่าในครึ่งปีที่ผ่านมา มีประเทศใดบิดเบือนค่าเงินหรือไม่ ตามกฎหมายสหรัฐฯ กำหนดให้กระทรวงการคลัง (โดยการปรึกษากับ IMF) รายงานต่อรัฐสภาฯ ทุก 6 เดือนว่ามีประเทศใดที่บิดเบือน (manipulate) ค่าเงินตนเองเทียบกับดอลลาร์สรอ. เพื่อให้ผู้ส่งออกของตนมีความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งรายงานดังกล่าวมีกำหนดแถลงต่อสภา Congress ประมาณวันที่ 15 เมษายน (ในอดีตเคยล่าช้าถึงเดือน มิถุนายน) ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้กระทรวงการคลังพิจารณาจากประเทศที่ (1) มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างมากและ (2) เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ  โดยหากมีการระบุว่ามีประเทศใดบิดเบือนค่าเงิน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะต้องเร่งเจรจาทั้งในระดับทวิภาคีและระดับองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อกดดันให้ประเทศดังกล่าวยุติการบิดเบือนค่าเงิน

แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่มีประเทศใดเลยที่เคยถูกระบุตรงๆ ว่าบิดเบือนค่าเงิน แต่ในครั้งนี้มีโอกาสอยู่บ้างที่อาจเป็นประเทศจีน เนื่องจาก

(1)   จีนเข้าข่ายเงื่อนไขเบื้องต้นคือ ดุลบัญชีเดินสะพัดของจีนแม้จะลดลงจากปีก่อนแต่ก็ยังเกินดุลสูงมากถึงกว่า 2.8 แสนล้านดอลลาร์สรอ. ในปี 2009  ส่วนด้านดุลการค้า จีนก็ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยทางการสหรัฐฯ ระบุว่า จีนเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 2.3 แสนล้านดอลลาร์สรอ. ในปีที่ผ่านมา

(2)   ค่าเงินหยวนแทบไม่แข็งค่าขึ้นเลยในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา  โดยค่าเงินหยวนถูกตรึงไว้ที่ 6.8 CNY/USD ในขณะที่ค่าเงินสกุลต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกันต่างก็แข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์สรอ. ไม่ว่าจะเป็น JPY(5%) SGD(8%) THB(9%) MYR(11%) KRW(19%) เป็นต้น (ดูรูปที่ 1) จึงไม่น่าแปลกที่ Dominique Strauss-Kahn ซึ่งเป็น Managing Director ของ IMF จะออกมาระบุหลายครั้งในช่วงเดือน มีนาคม ที่ผ่านมาว่า "เงินหยวนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก"

(3)  แรงกดดันทางการเมือง จากอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ที่สูงถึงราว 10% (เทียบกับปีปกติซึ่งอยู่ที่ระดับ 4-6%)  ประกอบกับปีนี้จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงสิ้นปี จึงเป็นเรื่องปกติที่ภาคการเมืองสหรัฐฯ จะลุกขึ้นมาทำท่าทางขึงขัง และการชี้นิ้วไปยังจีนก็ดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด โดยโทษว่าปัญหาการว่างงานที่แก้ได้ช้าในขณะนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการได้เปรียบทางการค้าของจีนจากการบิดเบือนค่าเงิน ทั้งนี้ ล่าสุดมีความพยายามผลักดันกฎหมายเพื่อกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนต่อประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน โดยกลางเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา วุฒิสมาชิก 15 คนรวมกันจากทั้งพรรค Democrat และ Republican ได้เริ่มต้นผลักดันกฎหายใหม่ซึ่งจะกำหนดตัวชี้วัดเพื่อระบุว่าประเทศใดบิดเบือนค่าเงิน และกำหนดมาตรการตอบโต้ที่ชัดเจน เช่น อาจกำหนดข้อห้าม ไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจ้างบริษัทของประเทศบิดเบือนค่าเงินในการประมูลโครงการต่างๆ ไปจนถึงการขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าของประเทศนั้นๆ ด้วย เหตุที่ต้องผลักดันกฎหมายใหม่ก็เพราะ กฎหมายปัจจุบันปล่อยให้เป็นดุลพินิจของกระทรวงการคลังที่จะระบุว่าประเทศใดบิดเบือนค่าเงิน (ที่ผ่านมากระทรวงการคลังก็มักระบุเพียงว่าจะจับตาดูจีน แต่ไม่ได้ระบุชัดชัดว่าจีนบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งไม่มีผลในแง่ของมาตรการตอบโต้) นอกจากนี้กฎหมายเดิมก็ไม่ได้กำหนดมาตรการตอบโต้อย่างชัดเจน





1257_20100803171015.jpg

 




หากสหรัฐฯ ระบุว่าจีนบิดเบือนค่าเงิน ก็อาจนำไปสู่การตอบโต้กันด้วยด้วยการกีดกันทางการค้าได้
เพราะกฎหมายระบุให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ต้องเร่งเจรจากับประเทศที่ถูกระบุว่าบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งหากตามมาด้วยมาตรการลงโทษต่างๆ ก็อาจเป็นชนวนไปสู่การกีดกันทางการค้าได้ เพราะ ทา งการจีนก็มีท่าทีแข็งกร้าวโดยนายกรัฐมนตรีของจีนเพิ่งจะออกมาระบุว่า นโยบายเรื่องค่าเงินเป็นเรื่องภายในประเทศ และจีนพร้อมจะตอบโต้ทันที หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกันทางการค้าต่อจีน

ซึ่งถ้าเกิดการตอบโต้ จะสร้างความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างรุนแรง เห็นได้จากตัวอย่างวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดในปี 1929 ที่ต่อเนื่องยาวนานไปในทศวรรษ 1930 หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ The great depression แม้จะไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากการกีดกันทางการค้าแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกีดกันทางการค้ามีส่วนสำคัญในการทำให้สถานการณ์แย่ลงเป็นอย่างมาก ในครั้งนั้นภายใต้แรงกดดันทางการเมืองจากอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act of 1930 เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจำนวนมากเพื่อหวังปกป้องธุรกิจในประเทศ  แต่ผลที่ได้กลับทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ทรุดหนักลงไปอีก เพราะประเทศคู่ค้าต่างๆ ทั้งแคนนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศษ และเยอรมันนีต่างก็ตอบโต้อย่างดุเดือดด้วยการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าเช่นกัน ผลคือมูลค่าส่งออกและนำเข้าของสหรัฐฯ หดตัวราว 70% ในเวลาเพียง 3 ปี (ดูรูปที่ 2) ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั่วโลกโดยรวมหดตัวกว่า 50%

ตามสำนวนที่ว่า ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ ยิ่งถ้าเป็นการชนกันระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีน และสหรัฐฯ ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องแบบลูกโซ่ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมต่อการค้าโลกและประเทศต่างๆ ดังนั้น ประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราว 70% ของ GDP ย่อมต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าส่งออกหลักๆ ของไทยเป็นประเภทวัตถุดิบขั้นกลางเพื่อนำไปประกอบต่อ อย่างเช่นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นั่นหมายความว่าไม่ว่าฝ่ายจีนหรือสหรัฐฯ ใครจะเจ็บมากเจ็บน้อยเศรษฐกิจไทยจะโดนลูกหลงไปด้วยอย่างแน่นอน





1256_20100803171013.jpg




ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ