มองอดีต ส่องโอกาส การค้าไทยในตลาดโลก
ผู้เขียน: เทอดธรรม ไทยเวสน์
|
หลังวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงปี 2008-2009 การค้าโลกมีการเติบโตที่ลดลง ทั้งในกลุ่มสินค้าคงทนและไม่คงทน โดยช่วงปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจการนำเข้าของสินค้าคงทนและไม่คงทนลดลงกว่า 21% และ 27% ตามลำดับ (รูปที่ 1) โดยสหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำเข้าหลักของโลกในเวลานั้น มีการนำเข้าที่ลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยนำเข้าสินค้าคงทนและไม่คงทนลดลง 23% และ 38% ตามลำดับ (รูปที่ 2) และแม้การค้าโลกจะมีการฟื้นตัวได้เร็วในช่วงปี 2010 แต่ยังถือว่าต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติมาก หากเราเปรียบเทียบระหว่างช่วง 2001 - 2008 และ 2009 - 2013 การนำเข้าของโลกในช่วงแรกเติบโตกว่า 15% ต่อปี แต่ในช่วงหลังนั้นลดเหลือเพียง 7% ต่อปี (รูปที่ 1) อีกทั้งเรายังพบว่าถึงแม้ภาพเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่มูลค่าการนำเข้ากลับไม่ได้ดีตามไปด้วย นอกจากนี้ หากวิเคราะห์การค้าโลกเปรียบเทียบกับ GDP พบว่าสัดส่วนการนำเข้าต่อ GDP นั้นเริ่มมีการปรับตัวลดลงตั้งแต่ปี 2011 (รูปที่ 2) แสดงถึงการค้าที่ชะลอตัวไม่สอดคล้องกับการเติบโตของ GDP โดยที่สินค้าแต่ละประเภทได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป
สินค้าที่ได้รับผลกระทบน้อยและมีการฟื้นตัวเร็ว ในการเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกคือ สินค้าพื้นฐาน เช่น อาหารสดและอาหารแปรรูป หากมองลึกลงไปถึงกลุ่มสินค้าต่างๆ ของการนำเข้าโลก จะพบว่าอาหารสดและอาหารแปรรูป เป็นหมวดสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าของโลกลดลงน้อยกว่า 10 % ในช่วงปี 2009 และยังสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนวิกฤติได้ภายในหนึ่งปี (รูปที่ 3) นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤติค่อนข้างหนักโดยที่มูลค่านำเข้าลดลงมากกว่า 15% แต่ฟื้นตัวเร็ว คือ สินค้าประเภทพลาสติกและยาง รวมถึงหินและแก้ว ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่การฟื้นตัวของการส่งออกของไทยนั้นดีกว่าการฟื้นตัวของการค้าโลกอยู่พอสมควร
แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวลงของการค้าโลก แต่นับได้ว่าสินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่ยังฟื้นตัวได้เร็วและยังมีแนวโน้มเติบโตโดยรวมสูงกว่าการค้าโลก สินค้าส่งออกหลักของไทย เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติกและยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร แร่ธาตุและเชื้อเพลิง และเคมีภัณฑ์ (รูปที่ 4) สินค้าเหล่านี้นับว่ามีความยืดหยุ่นสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งปีในการกลับมาสู่ระดับที่สูงกว่าช่วงปี 2008 (ยกเว้นสินค้าประเภทแร่และเชื้อเพลิง) (รูปที่ 4) ยิ่งไปกว่านั้นในสินค้าบางประเภทที่การนำเข้าของโลกถือว่าได้รับผลกระทบหนัก เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน ที่ยังติดลบถึง 10% แต่หลังจากผ่านวิกฤติไปแล้วหนึ่งปีไทยกลับมาส่งออกได้มากขึ้นกว่า 9% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันได้ดี นอกจากนี้ ช่วงปี 2010-2013 การส่งออกของไทยในสินค้าหลักยังคงมีอัตราการเติบที่สูงกว่าการนำเข้าของโลก (รูปที่ 8) ทั้งนี้ แม้การส่งออกของไทยจะยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี แต่ก็ยังมีโอกาสขยายตัวได้มากขึ้นอีกหากมุ่งไปยังตลาดใหม่ๆ ที่ขยายตัวสูง
ตลาดใหม่ที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทยคือ ภูมิภาคที่เป็นผู้นำเข้าขนาดเล็กเช่น กลุ่มลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา ที่ในยุคการค้าปัจจุบันมีแนวโน้มการเติบโตสูงและไทยมีสินค้าที่สามารถเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มนี้ได้ ในช่วงวิกฤติปี 2009 นั้น ภูมิภาคที่มีความยืดหยุ่นและสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าการฟื้นตัวของโลก คือ กลุ่มลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา (รูปที่ 5) สำหรับช่วงหลังวิกฤตินั้น ทั้งสามภูมิภาคดังกล่าวมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าที่เหนือกว่าสหรัฐฯ โดยที่มูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 8% เมื่อเทียบระหว่างปี 2008 กับ 2013 ในขณะทั้งสามภูมิภาคเติบโตกว่า 20%-30% ในช่วงเวลาเดียวกัน (รูปที่ 2 และ 5) ทั้งนี้ ไทยยังคงมีสัดส่วนการส่งออกไปยังทั้งสามภูมิภาคค่อนข้างน้อย (รูปที่ 7)
นอกจากนี้ เมื่อรวมตลาดทั้งสามภูมิภาคเข้าด้วยกันถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ โดยที่มูลค่าการนำเข้าของรวมกันอยู่ที่ประมาณ 14% ของการนำเข้ารวมของโลก ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่าการนำเข้าของทั้งสหรัฐฯ (12%) และจีน (10%) (รูปที่ 6) แสดงให้เห็นว่า ตลาดกลุ่มดังกล่าวเป็นตลาดส่งออกที่มีความน่าสนใจทั้งให้แง่การเติบโตที่สูงและขนาดที่ใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าของไทยยังมีศักยภาพในการส่งออกไปยังภูมิภาคเหล่านี้อยู่แล้ว เนื่องจากประเทศในภูมิภาคเหล่านี้มีการนำเข้าสินค้าที่เราสามารถตอบสนองได้ ทั้งนี้ จากข้อมูลปี 2013 ทั้งสามภูมิภาคมีการนำเข้าสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างใหญ่ (ประมาณ 10% ของการนำเข้าทั้งหมด) โดยเป็นสินค้าหลักๆ เช่น เครื่องรับส่งสัญญาณ ชิ้นส่วนประกอบโทรศัพท์ และ แผงวงจรรวม ซึ่งประเทศไทยก็ส่งออกสินค้าเหล่านี้อยู่แล้ว
รูปที่ 1: มูลค่าการนำเข้าของโลกแบ่งเป็นสินค้าคงทนและไม่คงทน ช่วงปี 2001 - 2013
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map
รูปที่ 2: มูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ แบ่งเป็นสินค้าคงทนและไม่คงทน และมูลค่าผลผลิตและบริการที่แท้จริง ช่วงปี 2001 - 2013
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map และ US. Bureau of Economic Analysis
รูปที่ 3: มูลค่าการนำเข้าของโลก - เปอร์เซ็นต์การลดลงในช่วงวิกฤติ ปี 2009 และ เปอร์เซ็นต์ความแตกต่างระหว่างปี 2008 และ 2010 โดยแบ่งตามหมวดสินค้าต่างๆ
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map
รูปที่ 4: มูลค่าการส่งออกของไทย - เปอร์เซ็นต์การลดลงในช่วงวิกฤติ ปี 2009 และ เปอร์เซ็นต์ความแตกต่างระหว่างปี 2008 และ 2010 โดยแบ่งตามหมวดสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงของไทย และ มูลค่าการส่งออกของไทย ในหมวดสินค้าต่างๆ ปี 2013
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map
รูปที่ 5: มูลค่าการนำเข้าของกลุ่มประเทศแอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง ช่วงปี 2001 - 2013
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map
รูปที่ 6: มูลค่าการนำเข้าของกลุ่มประเทศแอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง ปี 2013
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map
รูปที่ 7: มูลค่าการส่งออกของไทย ไปประเทศต่างๆปี 2013
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map
รูปที่ 8: อัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกของไทย เทียบกับ มูลค่าการเติบโตของการนำเข้าโลก ช่วง 2010 และ 2013
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Trade Map
|