สีสันการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี กับนโยบายที่น่าจับตามอง
เผยแพร่ใน EIC Outlook ฉบับไตรมาส 4/2016
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2016 การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 58 ของสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่มีนัยทางเศรษฐกิจที่ไม่จำกัดวงแคบเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น เนื่องจากนโยบายสุดโต่งของหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการเมืองรูปแบบเดิม ท่ามกลางสถานการณ์ความแตกแยกในสังคมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยระหว่างเดือนกันยายน – ธันวาคม จะมีการอภิปรายนโยบายโต้ตอบกัน (presidential debate) ระหว่าง Donald Trump จากพรรค Republican และ Hillary Clinton จากพรรค Democrat ซึ่งจะทำให้เห็นความแตกต่างทางนโยบายของทั้งคู่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การวิจารณ์แนวเสียดสีของ Trump และความพยายามในการขุดคุ้ยการดำเนินงานของ Clinton ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในอดีต ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อคะแนนนิยมของทั้งคู่ เห็นได้จากคะแนนนิยมที่มีแนวโน้มผันผวนอย่างมาก โดยหลายฝ่ายกังวลว่ากลุ่ม swing vote หรือกลุ่มคนที่ไม่สังกัดพรรคใดพรรคหนึ่งจะสามารถส่งผลให้ Trump ที่มีคะแนนนิยมตามหลังในปัจจุบัน พลิกมาชนะได้ในช่วงก่อนหน้าวันเลือกตั้ง เช่นเดียวกันกับ Brexit ทั้งนี้ ด้วยนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงของ Trump จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านการค้า นโยบายต่างประเทศ และนโยบายความมั่นคงที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทางการเมือง (geopolitical risks) ดังนั้น การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในปีนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องจับตามอง
Donald Trump |
Hillary Clinton |
|
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ |
|
|
การสร้างงาน |
|
|
การกระจายรายได้ |
|
|
แรงงานต่างชาติ |
|
|
การค้าระหว่างประเทศ |
|
|
หาก Donald Trump เป็นผู้คว้าชัยชนะ
มีแนวโน้มจะเกิดความผันผวนต่อตลาดเงินทั่วโลกในระยะสั้น เนื่องจากความสุดโต่งของนโยบาย อย่างไรก็ดีนโยบายดังกล่าวซึ่งแตกต่างไปจากเดิมมากมีโอกาสน้อยที่จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา อีกทั้ง นโยบายดังกล่าวนี้ก็อาจจะได้รับการเปลี่ยนระหว่างการอภิปรายเพื่อคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ นอกจากผลกระทบเชิงเศรษฐกิจแล้ว อาจจะนำไปสู่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย ซึ่งความเห็นของ Trump ที่มีต่อการค้ากับจีน รวมไปถึงมุมมองต่อกลุ่มชาวมุสลิมและแรงงานเม็กซิกัน อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปสู่ความสัมพันธ์ทางการค้า โดยความตึงเครียดดังกล่าวนี้เองก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย เพราะหากมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรงกับจีนขึ้นจริง อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีผลในวงกว้างต่อภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก โดยหลายประเทศจำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดจีน นอกจากนี้ นโยบายกีดกันแรงงานต่างชาติจะทำให้แรงงานสหรัฐฯ หดตัวและต้นทุนทางด้านแรงงานมีราคาสูงขึ้น นอกจากนี้ นโยบายทางภาษีจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจากรายงานของ The Tax Policy Center ประมาณการว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้รายได้ของภาครัฐลดลงกว่า 9.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วย ทั้งนี้ อีไอซีคาดว่าไทยจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นจากค่าเงินที่ผันผวน และแนวโน้มปริมาณการส่งออกสินค้าสหรัฐฯ ที่จะลดลงจากการบริโภคที่หดตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลงตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยสินค้าส่งออกของไทยที่อาจจะได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เครื่องจักรกล อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ยาง
หาก Hillary Clinton เป็นผู้คว้าชัยชนะ
นโยบายเศรษฐกิจของ Clinton ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนโยบายของนาย Barack Obama ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดยมีความแตกต่างบ้างเล็กน้อย ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงต่ำต่อการค้าและการลงทุน อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวนี้ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับการคัดค้านจากรัฐสภา ซึ่งนั่นอาจจะนำมาสู่สภาวะการเมืองชะงักงัน (political gridlock) ในประเด็นข้อตกลงทางการค้า TPP ที่ Clinton เคยเป็นผู้ผลักดันหลักในช่วงต้น แต่กลับลำต่อต้านในช่วงหาเสียงครั้งนี้ ได้สร้างข้อกังขาว่าหาก Clinton ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเปลี่ยนมาสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่ นอกจากประเด็นทางการเมืองแล้วรายงานของ The Tax Policy Center ประเมินว่านโยบายภาษีของ Clinton จะสร้างรายได้ให้กับภาครัฐเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลา 10 ปี แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ การขึ้นภาษีอาจลดแรงจูงใจในการสร้างงานและการลงทุนของภาคธุรกิจในแง่ของการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ นโยบายต่างประเทศของ Clinton ที่ให้ความสำคัญกับเอเชียเพื่อคานอำนาจกับจีน จะเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ทางการค้าของภูมิภาคนี้กับสหรัฐฯ แต่อาจเพิ่มความตึงเครียดในด้านการเมืองได้ในอนาคต