ปลาใหญ่กินปลาเล็ก…กลยุทธ์การเติบโตในวงการอาหารและเครื่องดื่มที่ยังมาแรงไม่หยุด
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การควบรวมและเข้าซื้อกิจการ หรือ Mergers and Acquisitions (M&A) ได้กลายเป็นกระแสที่อยู่ในความสนใจและเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Thomson Reuters ระบุว่าในปี 2014 มูลค่าดีลการทำ M&A ทั่วโลกอยู่ที่ราว 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 47% ซึ่งถือเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
ผู้เขียน: โชติกา ชุ่มมี
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 23 กันยายน 2558
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การควบรวมและเข้าซื้อกิจการ หรือ Mergers and Acquisitions (M&A) ได้กลายเป็นกระแสที่อยู่ในความสนใจและเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Thomson Reuters ระบุว่าในปี 2014 มูลค่าดีลการทำ M&A ทั่วโลกอยู่ที่ราว 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 47% ซึ่งถือเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
นอกเหนือไปจากอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีการทำ M&A ในลำดับต้นๆ อย่างกลุ่มพลังงานและไฟฟ้า บริการสุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ และภาคการเงินแล้ว “อาหารและเครื่องดื่ม” ก็นับเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีการทำ M&A มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งระหว่างผู้เล่นภายในประเทศด้วยกันเองและข้ามประเทศ (cross-border M&A) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมนี้ทั้งในตลาดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เนื่องจากเป็นสินค้าที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก รวมทั้งแนวโน้มการขยายตัวของเมืองและการเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งจะมีกำลังซื้อมากขึ้น
สำหรับไทย การทำ M&A ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและมีความคึกคักไม่แพ้ในต่างประเทศ โดยหนึ่งในดีลครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการอาหารและเครื่องดื่มอย่างมากเมื่อราว 3 ปีก่อน คือการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท F&N ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์และสิ่งพิมพ์ สัญชาติสิงคโปร์ โดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท TCC Asset ด้วยมูลค่าการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกลุ่มอาเซียนที่ 11,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.36 แสนล้านบาท ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าดีลครั้งนี้ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยเสริมขีดความสามารถและความโดดเด่นในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ไทยเบฟมีอยู่เดิมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ต้องการเติบโตแบบก้าวกระโดดและรุกธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดอาเซียนมากขึ้นอีกด้วย เพราะนอกจากจะทำให้ไทยเบฟได้ครอบครองฐานลูกค้าขนาดมหาศาล รวมทั้งสินค้าและบริการที่มีความหลากหลายมากขึ้นแล้ว ยังได้รับประโยชน์จากเครือข่ายโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งของ F&N ในการกระจายสินค้าในแถบเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย ซึ่งนับเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ไทยเบฟก้าวขึ้นเป็นบริษัทระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างแท้จริง
ขณะที่ TUF คือผู้เล่นที่มีความโดดเด่นค่อนข้างมากในเรื่องการทำ cross-border M&A นับตั้งแต่การซื้อกิจการปลาทูน่ายักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันอย่าง Chicken of the Sea ในปี 1997 ตามมาด้วยการเข้าซื้อ MW Brands (MWB) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าและอาหารทะเลของยุโรปในปี 2010 ส่งผลให้ TUF กลายเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งมีแบรนด์ชั้นนำทั้งในทวีปเอเชีย สหรัฐฯ และยุโรป และยังทำให้บริษัทฯ สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิตทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งนับเป็นการเดินเกมธุรกิจอันชาญฉลาดในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านอาหารทะเลของโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว ล่าสุดเมื่อกันยายนที่ผ่านมา TUF ยังบรรลุข้อตกลงการควบรวมกิจการกับ MerAlliance บริษัทสัญชาติฝรั่งเศส ผู้ผลิตปลาแซลมอนรมควันรายใหญ่อันดับ 4 ของยุโรป ซึ่งเท่ากับเป็นการต่อยอดการเติบโตของธุรกิจปลาแซลมอนรมควันแช่เย็นและตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำด้านธุรกิจอาหารทะเลในยุโรปอย่างแท้จริง สำหรับดีลล่าสุดที่กำลังอยู่ในความสนใจขณะนี้คือ การเข้าซื้อกิจการของ Bumble Bee Seafoods ด้วยเม็ดเงินที่สูงถึงราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ TUF อย่างไรก็ดี ปัจจุบันแผนดังกล่าวยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติโดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ในเรื่องการควบรวมกิจการภายใต้กฎหมายป้องกันการผูกขาด เพราะหากดีลนี้สำเร็จจะส่งผลให้ TUF มีส่วนแบ่งตลาดสินค้าทูน่าในสหรัฐฯ สูงถึงเกือบ 50%
อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่น่าจับตามองคือ CPF โดยบริษัทฯ เปิดเผยว่าหนึ่งในกลยุทธ์หลักสำหรับขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในอนาคตคือ การทำ M&A เพื่อแก้เกมในเรื่องอุปสรรคด้านการส่งออก ทั้งจากเรื่องการถูกตัดสิทธิ GSP จาก EU ข้อจำกัดในเรื่องโควตาการส่งออก รวมไปถึงมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บอร์ด CPF เพิ่งมีมติอนุมัติการเข้าซื้อกิจการธุรกิจไก่ครบวงจรในรัสเซียด้วยเม็ดเงินลงทุน 680 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.37 หมื่นล้านบาท ผ่านบริษัทย่อยคือ CPF Netherlands ซึ่งดีลครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทฯ สยายปีกเข้าสู่ธุรกิจสัตว์ปีกในรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตของการบริโภคเนื้อสัตว์ที่เร็วที่สุดในโลก รวมทั้งเพื่อเป็นรากฐานสำคัญสำหรับขยายธุรกิจในอนาคตเนื่องจากปัจจุบันตลาดสัตว์ปีกในรัสเซียยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ที่มีอิทธิพลเหนือตลาด รวมไปถึงโอกาสในการส่งออกสินค้าสัตว์ปีกจากรัสเซียไปขายยังประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ CPF ยังมีแผนเข้าซื้อกิจการธุรกิจแปรรูปอาหารในรัสเซีย รวมถึงแนวคิดที่จะเข้าไปซื้อกิจการเพื่อสร้างฐานการผลิตไก่ในสหรัฐฯ และในยุโรปตะวันออกอีกด้วย
เช่นเดียวกับบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ที่อาศัยการทำ M&A และการร่วมทุนเป็นทางลัดในการขยายธุรกิจและเติบโตแบบก้าวกระโดด เริ่มตั้งแต่การเข้าซื้อ “Hesco Food Industry?” ผู้ผลิตขนมขึ้นรูปประเภทข้าวอบกรอบชั้นนำจากญี่ปุ่นเมื่อราว 3 ปีก่อน ตามด้วยการร่วมทุนกับ บริษัท วราฟู้ดส์แอนด์ดริงค์ จำกัด โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 70% เพื่อรุกเข้าสู่ตลาดน้ำมะพร้าวซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีการเติบโตสูง หลังจากนั้นได้ส่งบริษัท วราฟู้ดส์แอนด์ดริงค์ จำกัดซึ่งเป็นบริษัทในเครือเข้าร่วมทุนกับ บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด โดยใช้งบลงทุนก้อนแรก 200 ล้านบาท เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจกาแฟอย่างเต็มตัว โดยอาศัยชื่อเสียงของกาแฟดอยช้างมาผนวกเข้ากับระบบการบริหารจัดการและช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพของสิงห์ฯ พร้อมตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาด 75-80% ของตลาดกาแฟอราบิก้าในไทยภายในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือแม้แต่การร่วมทุนกับ Maruzen ผู้ผลิตชาเขียวแบรนด์ดังจากญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดชาเขียวสำเร็จรูปโดยใช้ชาที่ปลูกอยู่ในไร่ชาสิงห์ปาร์คเป็นวัตถุดิบ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สอดรับกับแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของสิงห์ที่ต้องการขยายฐานรายได้จากธุรกิจ non-alcohol ได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์การเติบโตในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ซึ่งดิฉันเชื่อว่ากระแส M&A จะยังคงเป็นแนวโน้มใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค AEC ที่จะมีการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนมากขึ้น ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างขึ้นสำหรับผู้เล่นไทยที่มีศักยภาพและความพร้อม แต่ในทางกลับกันต้องไม่ลืมว่าธุรกิจไทยเองก็อาจตกเป็นเป้าของกลุ่มทุนต่างชาติที่ต้องการเข้ามารุกธุรกิจในไทย หรือใช้ไทยเป็นสะพานในการต่อยอดไปยังตลาดอื่นๆ ในอาเซียน ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหยุดคิดและหันกลับมาสำรวจตัวเองว่า ธุรกิจของเรามีความแข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่สูงขึ้นมากน้อยเพียงใด หากไม่ต้องการตกอยู่ในสภาพปลาเล็กที่ถูกกลืนกินโดยปลาใหญ่โดยไม่รู้ตัว