SHARE
SCB EIC ARTICLE
27 กุมภาพันธ์ 2013

ขยายเวลาการเปิด AEC … ใครได้ใครเสีย

จากการประชุม ASEAN Summit ที่กรุงพนมเปญ ผู้นำอาเซียนมีมติเลื่อนวันเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ออกไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2015 จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 มกราคม 2015 เนื่องจากประเมินว่ามีบางประเทศในอาเซียนยังไม่พร้อม และต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการเตรียมตัว ความมุ่งมั่นที่จะทำให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวต้องล่าช้าออกไปอีก 12 เดือน การเลื่อนการเปิด AEC มีนัยสำคัญมากน้อยเพียงใด โอกาสของธุรกิจยังมีอยู่ ณ จุดไหน ผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมความพร้อมมากขึ้นต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอีก 2 ปีข้างหน้า

ผู้เขียน:  EIC | Economic Intelligence Center

 159022707.jpg

ขยายเวลาการเปิด AEC ... ใครได้ใครเสีย

จากการประชุม ASEAN Summit ที่กรุงพนมเปญ ผู้นำอาเซียนมีมติเลื่อนวันเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ออกไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2015 จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 มกราคม 2015  เนื่องจากประเมินว่ามีบางประเทศในอาเซียนยังไม่พร้อม และต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการเตรียมตัว ความมุ่งมั่นที่จะทำให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวต้องล่าช้าออกไปอีก 12 เดือน การเลื่อนการเปิด AEC มีนัยสำคัญมากน้อยเพียงใด โอกาสของธุรกิจยังมีอยู่ ณ จุดไหน ผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมความพร้อมมากขึ้นต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอีก 2 ปีข้างหน้า

ประการแรก การเลื่อนเวลาการลดกำแพงภาษีสินค้า ทำให้บางธุรกิจอาจเสียโอกาสในการส่งออก การลดภาษีศุลกากรระหว่างกันในอาเซียน ยังเหลือประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (CLMV)  ที่ต้องลดอัตราภาษีสินค้าในบัญชี Inclusion List (IL) ทุกรายการให้เหลือ 0% ซึ่งจากเดิมกำหนดให้แล้วเสร็จต้นปี 2015 และจะเลื่อนออกไปอีก 12 เดือน ทั้งนี้ สินค้าที่ไทยมีแนวโน้มส่งออกไป CLMV มากขึ้นหากมีการลดอัตราภาษีลงอีก ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ พลังงานไฟฟ้า เครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์และน้ำอัดลม เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการบริโภคภายในประเทศของ CLMV การเลื่อนเวลาของการลดภาษีออกไป ทำให้ธุรกิจเหล่านี้เสียโอกาสในการส่งออกไปยัง CLMV ได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน CLMV ดำเนินการลดอัตราภาษีลงเหลือเฉลี่ย 2.5% และยังตัองใช้เวลาเพื่อปรับให้เหลือ 0%

แต่สินค้าบางอย่าง การลดภาษีลงไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ไม่ส่งผลเชิงบวกต่อการส่งออกมากนัก แม้ว่าอาเซียน 6 (ไทย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์) จะได้ดำเนินการลดอัตราภาษีสินค้าส่วนใหญ่ลงเหลือ 0% แล้ว แต่ยังมีสินค้าในบัญชีอ่อนไหวสูง (Highly Sensitive List: HSL) เช่น ข้าว ที่อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ต้องลดภาษีให้เหลือ 25% และ 35% ตามลำดับ ซึ่งผลบังคับใช้จะถูกเลื่อนออกไปจนถึงปลายปี 2015 แต่การลดภาษีดังกล่าวไม่ได้การันตีว่าไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน เพราะยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ทั้งด้านราคา คุณภาพ และคู่แข่งด้วย

ดังเช่นกรณีที่มาเลเซียลดภาษีข้าวจาก 40% เป็น 20% ในปี 2010 ทำให้ไทยส่งออกข้าวไปมาเลเซียได้ถึง 1.8 แสนตันในปี 2010 หรือมีการเติบโตถึง 10% จากปีก่อนหน้า แต่ในปี 2012 การส่งออกข้าวไทยไปมาเลเซียกลับลดลงเหลือ 7 หมื่นตัน เพราะข้าวไทยมีราคาสูงกว่าเวียดนาม และอินเดีย จึงมีความเสียเปรียบด้านการแข่งขัน ดังนั้น อัตราภาษีข้าวที่ลดลงไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ไม่ได้เป็นปัจจัยสนับสนุนหลักที่ช่วยให้ไทยส่งออกข้าวได้มากขึ้น อย่างฟิลิปปินส์เองก็มีโครงการ Rice Self-Sufficiency Program ที่ต้องการพึ่งพาผลผลิตข้าวในประเทศให้ได้ 100% ในปี 2013 การนำเข้าข้าวไทยของฟิลิปปินส์จึงมีแนวโน้มลดลง แม้ว่าภาษีนำเข้าจะลดต่ำลงก็ตาม

ประการที่สอง เป้าหมายการเปิดเสรีในปี 2015 ของธุรกิจบริการอื่นๆ นอกเหนือจากสาขาเร่งรัด อาจล่าช้าออกไปอีก แต่ทำให้มีเวลาปรับตัวมากขึ้น การเปิดเสรีการค้าบริการที่ผ่านมายังมีความล่าช้ากว่าเป้าหมายอยู่มาก ซึ่งภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน ธุรกิจบริการ 5 สาขาเร่งรัด อันได้แก่ การขนส่งทางอากาศ e-ASEAN (คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม) สุขภาพ การท่องเที่ยว มีการเปิดเสรีในปี 2010 และธุรกิจโลจิสติกส์ กำหนดการเปิดเสรีให้แล้วเสร็จภายในปี 2013 เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนอาเซียนสามารถเข้ามาถือหุ้นในธุรกิจเหล่านี้ได้ถึง 70% แต่ปัจจุบัน หลายประเทศยังสงวนเพดานสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายที่ตกลงไว้ เช่น ธุรกิจบริการสุขภาพ มีเพียงลาวและเวียดนามที่อนุญาตให้นักลงทุนถือหุ้นได้ 100% อยู่แล้ว แต่อีก 8 ประเทศยังไม่เปิดเสรีตามเป้าหมาย

ส่วนธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น ธุรกิจ Franchise โรงเรียนสอนภาษา ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจบำรุงรักษาซ่อมแซมเครื่องจักร ธุรกิจบริการด้านสิ่งแวดล้อม ต้องลดหรือเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าบริการ และการเข้าสู่ตลาดให้แล้วเสร็จภายในปี 2015 ซึ่งเป็นไปได้ว่าธุรกิจเหล่านี้อาจยังไม่มีการเจรจาเปิดเสรี จนกว่าสาขาบริการเร่งรัดจะเปิดได้ตามเป้าหมายเสียก่อน การเปิดเสรีภาคบริการที่ล่าช้าออกไปจึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการจะใช้เวลาเตรียมพร้อมรับมือคู่แข่ง หรือหาลู่ทางลงทุน เข้าซื้อหรือควบรวมกิจการในต่างประเทศ

ประการที่สาม การเปิดเสรีแรงงานที่จะเลื่อนไปปลายปี 2015 ไม่น่าจะเป็นการเสียโอกาสของธุรกิจมากนัก เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการที่มีความพร้อมสามารถจ้างบุคลากรเหล่านี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งข้อตกลงยอมรับร่วมในเรื่องคุณสมบัติของนักวิชาชีพอาเซียน หรือ Mutual Recognition Arrangements: MRAs เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายแรงงานใน 8 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ นักบัญชี วิศวกร พยาบาล สถาปนิก นักสำรวจ และ วิชาชีพท่องเที่ยว เป็นเพียงการสร้างและยอมรับมาตรฐานวิชาชีพร่วมกัน เพื่อลดขั้นตอนการตรวจสอบ รับรองวุฒิการศึกษา ซึ่งแรงงานยังคงต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบภายในของประเทศนั้นๆ เช่น การสอบใบอนุญาตแพทย์ พยาบาล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้แต่แรงงานไร้ทักษะ (unskilled labor) ที่ยังไม่มีการเปิดเสรีในปัจจุบัน ก็ยังมีการเคลื่อนย้ายไปสู่แหล่งที่มีผลตอบแทนสูงกว่า  

 

ทั้งนี้ แรงงานฟิลิปปินส์ซึ่งมีความได้เปรียบด้านภาษา เริ่มเข้ามามีบทบาทในธุรกิจไทยมากขึ้น ปัจจุบันสถาบันการศึกษาไทยจ้างครูฟิลิปปินส์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของครูต่างชาติ เพราะมีค่าจ้างต่ำกว่าครูที่เป็นเจ้าของภาษาโดยตรง นอกจากนี้ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพจะมีทางเลือกด้านแรงงานมากขึ้น เนื่องจากพยาบาลฟิลิปปินส์มีแนวโน้มย้ายเข้ามาทำงานในไทยสูงขึ้น เพราะนอกจากค่าจ้างพยาบาลในไทยจะสูงกว่าที่ฟิลิปปินส์ถึง 50% แล้ว ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีปริมาณพยาบาลล้นตลาด อีกทั้งสหรัฐฯ และยุโรป เริ่มเข้มงวดและจำกัดการเข้ามาทำงานของพยาบาลต่างชาติ

 

ดังนั้น ในภาพรวมแล้วการเลื่อนการเปิด AEC ออกไปอีก 12 เดือน ไม่ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาสทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญมากนัก เพราะบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งที่มีความพร้อม ได้มีการขยายการค้าการลงทุนยังต่างประเทศแล้ว แต่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือ SMEs เพราะแม้จะเริ่มมองเห็นโอกาสจาก AEC แต่การดำเนินการยังไม่เห็นเด่นชัด ซึ่งผลการสำรวจ SMEs ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่า SMEs 95% ยังไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ และกว่า 80% ก็ไม่มีแผนที่จะไปลงทุนยังต่างประเทศในอีก 3 ปีข้างหน้าเพราะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง

 

ทั้งนี้ SMEs ไม่ควร รอจนกว่า AEC เปิดอย่างเต็มรูปแบบในปี 2015 เพราะโอกาสการลงทุนในปัจจุบันนั้นมีอยู่แล้ว เช่น เวียดนามอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในธุรกิจค้าปลีกได้ 100% จึงเป็นโอกาสของธุรกิจค้าปลีกเพื่อรองรับการบริโภคในเวียดนามที่ขยายตัวสูงขึ้น กัมพูชาสนับสนุนการเคลื่อนย้ายเงินทุนได้โดยเสรีไม่มีจำกัด ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ 100% การลงทุนในกัมพูชา ลาว พม่า มีข้อได้เปรียบทั้งด้านแรงงานราคาถูก และการได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าจากประเทศพัฒนาแล้ว บรูไนอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 100 % เกือบทุกสาขา เช่นเดียวกับ มาเลเซีย การปฏิรูปนโยบาย New Economic Model กระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ โดยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ 100% ใน 27 สาขา เช่น การท่องเที่ยว สุขภาพ และขนส่ง เป็นต้น

การเปิด AEC ที่ถูกเลื่อนออกไป ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs จะได้มีเวลาเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผลการสำรวจชี้ว่า SMEs ส่วนใหญ่เน้นการปรับตัวเชิงรับมากกว่า แต่การตั้งรับอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต้องปรับตัวในเชิงรุกด้วย เช่น มองหาลู่ทางย้ายฐานการผลิตเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงาน ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีเกือบ 600 ล้านคนในอาเซียน เพื่อขยายตลาดให้เกิด economies of scale หาแหล่งวัตถุดิบราคาถูก หาพันธมิตรทางธุรกิจเป็นเพื่อนคู่คิดไปร่วมลงทุน ตามเทรนด์ใหม่ให้ทันกระแสโลก เช่น ขยายธุรกิจไปสู่ e-commerce แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับตัวต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้

แต่ถ้าผู้ประกอบการไม่คิดจะปรับตัว AEC จะเลื่อนออกไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีประโยชน์

Tags
AECRice
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ