ผู้เขียน: พิมพ์นิภา บัวแสง
|
|
-
ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) ประกาศลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน พร้อมทั้งส่งสัญญาณยุติมาตรการเข้าซื้อพันธบัตร (Asset Purchase Programme: APP) ตามที่ตลาดคาดในการประชุมวันที่ 14 มิถุนายน 2018 มาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย
1. ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม 3 เดือน โดยจากเดิม ที่มาตรการจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2018 เป็นสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2018 และ ECB คาดว่าจะไม่มีการขยายระยะเวลาเพิ่มเติม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มที่จะเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2% ในระยะกลางแล้ว
2. ลดขนาดวงเงินที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล โดยจะยังคงวงเงินปริมาณการอัดฉีดต่อเดือนที่ 3 หมื่นล้านยูโร จนถึงเดือนกันยายน 2018 และลดการอัดฉีดปริมาณเงินต่อเดือนลงเหลือ 1.5 หมื่นล้านยูโร ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2018 จนถึงเดือนธันวาคม 2018
- ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ (interest rate on the main refinancing operations) ที่ระดับ 0.00% พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB (the deposit facility) ที่ระดับ -0.40% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (interest rates on the marginal lending facility) ที่ระดับ 0.25% อีกทั้งยังระบุว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนของปี 2019 (มิถุนายน-กันยายน) และจนกว่าจะมั่นใจได้ว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่ ECB เห็นว่าเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
|
|
|
- ECB มองว่าเศรษฐกิจยูโรโซนแข็งแกร่งพอที่จะรองรับการยุติการเข้าซื้อพันธบัตร (APP) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ในการประชุมครั้งนี้ ECB ได้มีการปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป โดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.7%, 1.7% และ 1.7% ในปี 2018, 2019 และ 2020 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.4%, 1.4% และ 1.7% ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น จากราคาน้ำมันดิบโลกที่เพิ่มขึ้น เงินยูโรที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และตลาดแรงงานที่เริ่มตึงตัว สะท้อนจากอัตราการว่างงานที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง สู่ระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 9 ปีที่ 8.5% ในเดือนเมษายน ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คาดว่าจะเริ่มเข้าใกล้ระดับเป้าหมายของ ECB ที่ 2% สนับสนุนให้ ECB ซึ่งเป็นธนาคารกลางที่ดำเนินนโยบายการเงินแบบกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ (Inflation targeting) มีความเชื่อมั่นมากขึ้นที่จะยุติการเข้าซื้อพันธบัตร (asset purchase program) และเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้นโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติ (normalization) นอกจากนี้ ECB ได้มีการปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 2.1%, 1.9% และ 1.7% ในปี 2018, 2019 และ 2020 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 2.4%, 1.9% และ 1.7% ตามลำดับ ทั้งนี้ ECB ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2018 ลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาชะลอลงในไตรมาสที่ผ่านมา และนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯที่มีท่าทีว่าจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการค้าโลกที่อาจชะลอลง อย่างไรก็ตาม ECB ยังคงประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมในระยะต่อไปจะยังคงแข็งแกร่งและขยายตัวได้เป็นวงกว้าง (solid and broad-based economic growth)
- เงินยูโรอ่อนค่าลงหลังการแถลงนโยบายการเงิน เนื่องจาก ECB แสดงมุมมองที่ระมัดระวังต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภายหลังนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ประกาศลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินลง (APP) และตรึงดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมต่อไป ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 1.0% อยู่ที่ระดับ 1.173 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อยูโร จากระดับ 1.185 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อยูโร ก่อนการประกาศมาตรการฯ ในขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีอายุ 10 ปี ปรับลดลง 3.7 bps ลงมาอยู่ที่ 0.439% ทั้งนี้ ตลาดการเงินตอบสนองในทิศทางดังกล่าว เนื่องจากการปรับลดขนาดการเข้าซื้อของมาตรการ APP เป็นไปตามที่ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี การที่ ECB ระบุว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปี 2019 สะท้อนว่า ECB มีมุมมองที่ระมัดระวังต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (dovish stance) โดยนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ECB ควรเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้ ECB มีเครื่องมือเพียงพอที่จะรองรับวิกฤตเศรษฐกิจในระยะต่อไป
|