SHARE
SCB EIC ARTICLE
13 ธันวาคม 2017

สี จิ้นผิงนำจีนเข้าสู่ยุคใหม่ มุ่งสู่การเป็นประเทศทรงอิทธิพลในปี 2050

จากความสำเร็จของจีนตลอดช่วงปี 2012-2016 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 18-24 ตุลาคม 2017 มีมติเอกฉันท์แต่งตั้งนายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 พร้อมทั้งบรรจุ “อุดมการณ์สี จิ้นผิง” ซึ่งเป็นแนวคิดสังคมนิยมว่าด้วยคุณลักษณะเฉพาะสำหรับชาวจีนยุคใหม่ไว้ในรัฐธรรมนูญพรรค ส่งผลให้นายสี จิ้นผิงกลายเป็นผู้นำจีนที่ทรงอิทธิพลสูงสุดของยุคนี้ ทั้งนี้ นโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศของนายสี จิ้นผิงจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ โดยจะเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาอุปทานส่วนเกิน และจัดการกับรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยจีนได้วางแผนที่จะจัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่าราว 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเร่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจครั้งที่ 3 ภายในครึ่งปีแรกของปี 2018 โดยมีรัฐวิสาหกิจ 31 แห่งอยู่ในโครงการ ในขณะเดียวกัน จีนให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมภายใต้แผน “Made in China 2025” เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตแทนอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็กและซีเมนต์ โดยมีอุตสาหกรรมสินค้าเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างรถยนต์ไฟฟ้าเป็นพระเอก และบริษัท Fintech ของจีนที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น Alibaba และ Tencent เป็นต้น

ผู้เขียน: จิรามน สุธีรชาติ 

เผยแพร่ในประชาชาติ วันที่ 13 ธันวาคม 2017

 

iStock-641812964.jpg

 

จากความสำเร็จของจีนตลอดช่วงปี 2012-2016 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 18-24 ตุลาคม 2017 มีมติเอกฉันท์แต่งตั้งนายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 พร้อมทั้งบรรจุ “อุดมการณ์สี จิ้นผิง” ซึ่งเป็นแนวคิดสังคมนิยมว่าด้วยคุณลักษณะเฉพาะสำหรับชาวจีนยุคใหม่ไว้ในรัฐธรรมนูญพรรค ส่งผลให้นายสี จิ้นผิงกลายเป็นผู้นำจีนที่ทรงอิทธิพลสูงสุดของยุคนี้ ทั้งนี้ นโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศของนายสี จิ้นผิงจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ โดยจะเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาอุปทานส่วนเกิน และจัดการกับรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยจีนได้วางแผนที่จะจัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่าราว 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเร่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจครั้งที่ 3 ภายในครึ่งปีแรกของปี 2018 โดยมีรัฐวิสาหกิจ 31 แห่งอยู่ในโครงการ ในขณะเดียวกัน จีนให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมภายใต้แผน “Made in China 2025” เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตแทนอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็กและซีเมนต์ โดยมีอุตสาหกรรมสินค้าเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างรถยนต์ไฟฟ้าเป็นพระเอก และบริษัท Fintech ของจีนที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น  Alibaba และ Tencent เป็นต้น

 

นอกจากนี้ นายสี จิ้นผิงได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาชนบทเป็นครั้งแรก โดยมุ่งไปที่การกระจายความเจริญอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรที่เป็นอาชีพหลักของคนชนบทให้มีความทันสมัย เพื่อสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่น พร้อมเตรียมปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีแบบแผนเดียวกันทั่วประเทศเพื่อสร้างแรงงานที่มีความรู้ระดับอุดมศึกษามากขึ้น และปรับปรุงระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานเพิ่มเตรียมพร้อมรับมือกับสังคมผู้สูงอายุอย่างเข้มแข็ง

 

ในขณะที่นโยบายต่างประเทศ จีนก็เดินหน้าเปิดเสรีการค้าและการลงทุนอย่างเต็มกำลัง โดยมีโครงการ Belt and Road Initiatives (BRI) หรือเส้นทางสายไหมยุคใหม่เป็นเครื่องยนต์หลักในการสนับสนุนการขยายอิทธิพลของจีนในเวทีโลก โดยจีนเป็นผู้ลงทุนหลักในการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อ 3 ทวีป 65 ประเทศ ทั้งทางบกและทางน้ำ และการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษตลอดเส้นทางสายไหมยุคใหม่ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการค้าและการลงทุนในอนาคต ทั้งนี้ จีนได้เตรียมปรับแก้กฎหมายส่งเสริมการค้าและการลงทุนเสรี ให้สิทธิแก่นักลงทุนชาวจีนและชาวต่างชาติอย่างเท่าเทียม และสนับสนุนให้บริษัทเอกชนมีบทบาทในการลงทุนภายนอกประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้ยกเลิกกฎระเบียบบางอย่างเพื่อลดอุปสรรคสำหรับบริษัทที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น การยกเลิกการขออนุญาตสำหรับบริษัทที่จะนำเงินมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น

 

เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการ BRI ในอีกทางหนึ่ง ภาคการเงินของจีนเริ่มเปิดเสรีมากขึ้นเรื่อยๆ ธนาคารแห่งชาติจีนได้ประสบความสำเร็จในการสนับสนุนการใช้เงินหยวนในประเทศต่างๆ บนเส้นทางสายไหมยุคใหม่และในตลาดโลก โดยนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา International Monetary Fund (IMF) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้รับรองเงินหยวนจีนเข้าเป็นหนึ่งในตะกร้าสกุลเงินหลักของโลก ร่วมกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร ปอนด์สเตอร์ลิง และเยน และคาดว่าค่าเงินหยวนจะยืดหยุ่นตามกลไกตลาดมากขึ้นด้วย อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือ Stock Connect และ Bond Connect ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนชาวต่างชาติมีส่วนร่วมในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรหยวนผ่านตลาดฮ่องกง ซึ่งจะส่งผลให้ฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญในการระดมทุนสำหรับโครงการ BRI โดยผ่าน Bond Connect ในอนาคตคาดว่านักลงทุนชาวต่างชาติจะมีโอกาสลงทุนในตลาดการเงินของจีนเพิ่มขึ้นด้วยโครงการอื่นๆ ที่จะต่อยอดจาก Stock Connect และ Bond Connect ต่อไป

 

ในภาพรวมนั้น ทิศทางเศรษฐกิจจีนในอนาคตจะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ แทนที่การขยายตัวอย่างรวดเร็วอย่างที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนในระยะข้างหน้าจะเริ่มชะลอตัวลงบ้าง แต่จะเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวมากขึ้น แม้ว่าเราจะเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะข้างหน้า จากการเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดกำลังการผลิตส่วนเกิน  รวมไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เน้นคุณภาพมากกว่าตัวเลขเป้าหมาย แต่เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากจากภาคเอกชนของจีนจะยังคงไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากการเชื่อมต่อเส้นทางเส้นทางสายไหมยุคใหม่และเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ บนเส้นทาง จะกระตุ้นให้เกิดการค้าและการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะมีเงินลงทุนราว 4.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญในบุกเบิกการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้

 

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ยังคงต้องเฝ้าติดตามการลงทุนโดยตรงจากจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้หลังจากนี้ทั้งการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ BRI และโครงการเมกะโปรเจกต์อื่นๆ ของจีน เนื่องจากจะกระทบต่ออุปสงค์ความต้องการใช้และราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกต่อไปอีกทอดหนึ่งได้เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคและผู้นำเข้ารายใหญ่ในสินค้าหลายหมวดไม่ว่าจะเป็น เหล็ก ปูน ทองแดง อลูมิเนียม เป็นต้น รวมถึงความคืบหน้าของการพัฒนาชนบทและภูมิภาคฝั่งตะวันตกของจีนที่จะส่งผลให้ประชาชนคนชั้นกลางเริ่มมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทั้งต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยไปจีนได้

 

สุดท้ายนี้ เศรษฐกิจจีนที่เติบโตต่อเนื่อง จะเป็นแรงส่งที่ดีต่อเศรษฐกิจไทยในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ ของภูมิภาคเพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน การท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ โดยในเดือนกันยายน 2017 ที่ผ่านมา ไทยได้ลงนามความร่วมมือกับจีนในโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 มูลค่า 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเชื่อมต่อภายใต้โครงการ BRI พร้อมกันนี้รัฐบาลไทยมีความพยายามต่อเนื่องที่จะดึงดูดการลงทุนจากจีนเข้ามาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต เนื่องจากแผน Made in China 2025 และ Thailand 4.0 มีความใกล้เคียงกัน หากไทยสามารถรับการถ่ายทอดความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมจากจีนผ่านการร่วมลงทุน อนาคตของอุตสาหกรรมยุคใหม่จะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น และหากจีนสามารถผลักดันให้เกิดความร่วมทางเศรษฐกิจอย่างเหนียวแน่นกับนานาประเทศภายใต้ BRI ได้สำเร็จ อิทธิพลของจีนในเวทีโลกทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศทรงอิทธิพลในเวทีโลกภายในปี 2050 ได้อย่างแน่นอน

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ