SHARE
FLASH
15 มิถุนายน 2017

ตลาดไม่ขยับ แม้ Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ย พร้อมแผนลดงบดุล

ผู้เขียน: พีรพรรณ สุวรรณรัตน์

 

Thumb_fed_20170615.jpg

 

 

Event.png

885_20100622103059.gif

  • ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติ 8 ต่อ 1 เสียงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed funds rate) 25 basis points ซึ่งเป็นการขึ้นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในช่วง 1.00 – 1.25% ทั้งนี้ คณะกรรมการของ FOMC ส่วนใหญ่ มองว่าควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่ในช่วง 1.25 – 1.50% ณ สิ้นปี 2017

  • ที่ประชุม FOMC ยังเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่าจะเริ่มทยอยลดขนาดงบดุลในปีนี้ โดยเริ่มต้นจากการหยุดซื้อพันธบัตรเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่หมดอายุลง (reinvest) ทั้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ำประกัน (Mortgage-Backed Securities: MBS) รวม 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน และทยอยเพิ่มปริมาณการหยุด reinvest จนกระทั่งลดงบดุลทั้งสิ้น 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (รายละเอียดตามรูปที่ 1) อย่างไรก็ตาม Fed ยังไม่ได้กำหนดช่วงเวลาการเริ่มต้นลดงบดุลที่ชัดเจน
Analysis.png

884_20100622103051.gif

  • ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศที่แข็งแกร่งส่งผลให้ Fed ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ปี 2017 จะขยายตัวเพียง 1.2%QOQ SAAR ต่ำสุดในรอบ 1 ปี แต่ Fed เห็นว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาจากปัจจัยชั่วคราว ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศบ่งชี้การเติบโต ทั้งตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง จากอัตราการว่างงานที่ต่ำสุดในรอบ 16 ปีที่ 4.3% ณ เดือนพฤษภาคม ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันแม้ว่าจะอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% แต่คาดว่าในระยะปานกลางจะกลับเข้าสู่อัตราเป้าหมาย

  • ตลาดได้รับรู้ความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่งผลให้ตลาดการเงินไม่ตอบสนองรุนแรง ด้านตลาดการเงินสหรัฐฯ ณ วันที่ 14 มิถุนายน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดตลาดอ่อนค่าลงเล็กน้อย 0.04% ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.52 basis points มาอยู่ที่ 2.1308% และตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดาวน์โจนส์ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.22% สวนทางกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ S&P 500 ที่ปิดตลาดลดลง 0.10% ขณะที่นักลงทุนเห็นความเสี่ยงในตลาด (VIX index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง +2.1% ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปิดในช่วงเช้าเพิ่มขึ้น 0.04% และเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.08%

  • Fed มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ตาม Dot Plot และอาจเริ่มต้นลดงบดุลในไตรมาสสุดท้ายของปี Fed ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ทั้งการปรับขึ้นคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้มาอยู่ที่ 2.2% จาก 2.1% ที่ประกาศ ณ เดือนมีนาคม และประกาศแผนลดงบดุลเร็วกว่าคาด อีกทั้งอัตราการว่างงานในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำมากสะท้อนปัจจัยพื้นฐานการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะเริ่มลดงบดุลในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

  • อย่างไรก็ตาม Fed อาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปได้ หากตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอลงและเกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้ Fed จะเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ได้มีการปรับลดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ลงต่ำกว่าเป้าหมาย อีกทั้งยอดค้าปลีก เดือนพฤษภาคมที่หดตัว 0.3%MOM อาจสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยทางการเมืองจะไม่เป็นปัจจัยกำหนดนโยบายของ Fed แต่หากเหตุการณ์การเมืองรุนแรงและนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกดำเนินการตามขั้นตอนการถอดถอน จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศลดลง และอาจทำให้ Fed ต้องชะลอการขึ้นดอกเบี้ยและเลื่อนการเริ่มต้นลดงบดุลออกไปอีก ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ CME Group ตลาดเห็นความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้มีเพียง 44.8% และลดลงจาก 3 เดือนก่อนที่อยู่ที่ 52.8%
Implication.png

886_20100622103105.gif

  • อีไอซี คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% ต่อไปจนถึงปลายปี 2017 แม้ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเริ่มแผนลดขนาดงบดุล สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น โดย GDP ไตรมาส 1 เติบโตได้สูงที่ 3.3% เสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งและเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงเป็นปัจจัยบวก แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงต่ำที่ -0.04%YOY ณ เดือนพฤษภาคม ซึ่งต่ำกว่ากรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1 - 4%  และการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้เหตุผลการคงดอกเบี้ยของ ธปท. ยังคงมีน้ำหนักในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ในระยะต่อไป

  • ในช่วงที่ Fed ยังไม่เริ่มลดขนาดงบดุล เงินบาทคาดว่าจะยังคงแข็งค่าต่อไป ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ส่งออกไทย เนื่องจากค่าเงินบาทยังได้รับแรงกดดันจากเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตร จากความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ และความไม่คืบหน้าของแผนปฏิรูปภาษี ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ผู้ส่งออกจึงมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันกับเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียซึ่งค่าเงินอ่อนค่าเมื่อเทียบกับบาท

  • ในระยะถัดไป หาก Fed เริ่มต้นลดขนาดงบดุล ผู้ระดมเงินทุนมีความเสี่ยงต่อต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น เนื่องจากการลดขนาดงบดุลจะทำให้ปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระบบเศรษฐกิจทยอยลดลง และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จะทำให้มีเงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ในด้านตลาดการเงินไทย การลดงบดุลของ Fed จะส่งผลต่อเนื่องให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีปรับเพิ่มขึ้น และเงินบาททยอยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการระดมเงินทุนจากตลาดตราสารหนี้จำเป็นต้องพิจารณาความเสี่ยงจากต้นทุนการกู้ยืมที่อาจเพิ่มขึ้น และผู้นำเข้าควรป้องกันความเสี่ยงจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง

 

 

 

รูปที่ 1: แผนการลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ


ขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะลดลงตามแผนในแต่ละช่วงเวลา

หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน

 

1.png

 

 

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC

 

แผนการลดงบดุลของ Fed คือ การหยุดซื้อพันธบัตรเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่หมดอายุลง (reinvest) โดยตราสารหนี้เป้าหมายของ Fed คือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และ MBS โดยในช่วง 3 เดือนแรก Fed จะหยุด reinvest พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และ MBS ในปริมาณทั้งสิ้น 6 และ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ตามลำดับ รวมเป็น 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน โดย Fed จะยังคง reinvest พันธบัตรที่จะหมดอายุในส่วนที่เกินกว่าที่กำหนดไว้นี้ และทุก 3 เดือน Fed จะปริมาณเพิ่มการหยุด reinvest อีกครั้งละ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  และ MBS 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จนกระทั่งปริมาณการหยุด reinvest เพิ่มขึ้นถึง 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  และ MBS 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่จะคงปริมาณการหยุด reinvest ดังกล่าวไปเรื่อย ๆ จนกว่าขนาดงบดุลจะเข้าสู่ระดับที่ Fed ต้องการ ทั้งนี้ Fed ไม่ได้กำหนดช่วงเวลาเริ่มต้นลดงบดุล และขนาดงบดุลเป้าหมาย    

 

รูปที่ 2: การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี

หน่วย: %

 

2.png

 

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ