SHARE
SCB EIC ARTICLE
22 มีนาคม 2017

จุดสะดุดธุรกิจบริการ

ทุกวันนี้ธุรกิจบริการถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่ในอนาคตเครื่องยนต์นี้อาจต้องถึงคราวสะดุดลง จากการเผชิญกับอุปสรรคสำคัญคือการขาดแคลนแรงงาน การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแรงงานจึงเป็นทางออกที่ประเทศไทยควรหันมาใส่ใจอย่างเร่งด่วน

ผู้เขียน: ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์

เผยแพร่ในประชาชาติธุรกิจ วันที่ 22 มีนาคม 2017

 

 EIC_Banner_Interesting topic_Hotel.jpg

 

ทุกวันนี้ธุรกิจบริการถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่ในอนาคตเครื่องยนต์นี้อาจต้องถึงคราวสะดุดลง จากการเผชิญกับอุปสรรคสำคัญคือการขาดแคลนแรงงาน การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแรงงานจึงเป็นทางออกที่ประเทศไทยควรหันมาใส่ใจอย่างเร่งด่วน

 

หากเรามองย้อนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจบริการของไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีแรงสนับสนุนจากรายได้ของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นทั้งในไทย จีน และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ทำให้ประชากรกลุ่มนี้ที่มีมากกว่า 280 ล้านคนอยากที่จะเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงใช้จ่ายเพื่อสุขภาพมากขึ้นตามไปด้วย ความต้องการเหล่านี้ยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะเพียงแค่คนจีนที่เคยเดินทางออกนอกประเทศมีจำนวนแค่ 10% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้นเอง นักท่องเที่ยวชาวจีนยังขยายตัวอีกมาก

 

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของธุรกิจบริการต้องการแรงงานสนับสนุนจำนวนมาก ทำให้ปัจจัยแรงงานกลายเป็นข้อจำกัดด้านอุปทานที่สำคัญที่สุดสำหรับอนาคตของธุรกิจบริการไทย ซึ่งดิฉันมองว่าจะเป็นตัวชี้ขาดว่าเราจะสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพของอุปสงค์หรือไม่ 

 

ทุกวันนี้ภาคธุรกิจก็มีความยากลำบากในการหาแรงงานให้เพียงพออยู่แล้ว จากการสำรวจของอีไอซีเรื่องปัญหาทรัพยากรมนุษย์พบว่า กว่าครึ่งของธุรกิจทั้งหมดไม่สามารถหาแรงงานที่ต้องการได้ภายในช่วงเวลา 3 เดือน โดยจะขาดแคลนรุนแรงในธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงบริการอาหารและเครื่องดื่ม

 

 

ที่มา: การสำรวจของ EIC จาก 222 บริษัทใน 6 อุตสาหกรรมหลัก (มกราคม – มีนาคม 2557)

 

แต่ทราบหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วจำนวนแรงงานของไทยกำลังอยู่ในจุดพีค? ประชากรวัยแรงงานของเราจะมีจำนวนมากที่สุดในปี 2561 และจะลดลงเรื่อยๆ หลังจากนั้น นอกจากนี้ บริษัท PwC ประเมินไว้ว่าประชากรวัยแรงงานของไทยจะลดลงอย่างรวดเร็วถึง 0.5-1% ต่อปีในช่วง 25 ปีข้างหน้า จากสถานการณ์ในตรงนี้ทำให้ดิฉันนึกถึงภาพของญี่ปุ่นขึ้นมา โดยประชากรวัยแรงงานในญี่ปุ่นลดลงราว 13% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นมีแรงงานไม่พอในหลายธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจการขนส่งสินค้าที่กำลังโตเนื่องจากคนหันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น การสำรวจของหอการค้าญี่ปุ่นพบว่า 2 ใน 3 ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน

 

และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้หลายคนคงมองว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคบริการเป็นทางออกที่น่าสนใจทางหนึ่งของปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวอย่างให้เห็นเพิ่มขึ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจโรงแรมและภัตตาคารและธุรกิจบริการสุขภาพซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตสูงของไทย

 

ในธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร โรงแรม Henn-na ของญี่ปุ่นคือตัวอย่างสำคัญของการนำร่องเทคโนโลยี Robotics Process Automation มาให้บริการเพื่อทดแทนแรงงาน โดยนำหุ่นยนต์ที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษามาใช้ในการต้อนรับ และ Check-in/Check-out รวมทั้งรับฝากและจัดส่งกระเป๋าเข้าห้องพัก เพื่ออำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ ยังได้นำระบบตรวจสอบใบหน้ามาใช้แทนการไขกุญแจเพื่ออำนวยความสะดวกและป้องกันลูกกุญแจสูญหาย ถือว่าเป็นวิธีการที่ช่วยลดอัตราการจ้างงานและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้วย

 

อีกด้านหนึ่งในส่วนของธุรกิจบริการสุขภาพ ก็มีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้อย่างแพร่หลายเช่นกัน ทั้งการผ่าตัด การดูแลคนไข้ และการจัดส่งอาหารและยาให้กับผู้ป่วยใน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ หุ่นยนต์ da Vinci ที่ถูกนำมาใช้ผ่าตัด โดยเฉพาะเคสที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การผ่าตัดหัวใจ เพื่อให้สามารถควบคุมการผ่าตัดได้อย่างเต็มที่ มีความยืดหยุ่น และสามารถผ่าตัดในอวัยวะที่มีขนาดเล็กได้ หรือการนำหุ่นยนต์ Anybots Inc มาใช้เพื่อสอบถามอาการและดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่พักรักษาตัวที่บ้านซึ่งนอกจากจะช่วยลดแรงงานแล้ว ยังช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ป่วยอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ดิฉันคิดว่าการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในธุรกิจบริการคงตอบโจทย์การขาดแคลนแรงงานของไทยไม่ได้ทั้งหมด เพราะงานบริการส่วนมากเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะด้านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทดแทนด้วยหุ่นยนต์ได้ยาก การศึกษาโดยมหาวิทยาลัย Oxford พบว่างานที่ต้องการทักษะดังกล่าวมีโอกาสทดแทนด้วยหุ่นยนต์ต่ำกว่า 15% แม้แต่ในญี่ปุ่นยังพบว่าธุรกิจที่มีปัญหามากที่สุดคือธุรกิจที่ไม่สามารถทดแทนแรงงานด้วยหุ่นยนต์หรือแรงงานต่างชาติได้ง่ายนัก เช่น ธุรกิจเดย์แคร์ เป็นต้น 

 

แล้วแรงงานสำหรับภาคบริการไทยจะมาจากไหน? ดิฉันเชื่อว่าประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการจัดสรรแรงงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การที่แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมมีโอกาสที่จะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ได้สูงกว่า 80% เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวสำหรับหลายๆ คน แต่ก็แปลว่าแรงงานเหล่านี้อาจจะเป็นคำตอบของการขาดแคลนในภาคบริการ นอกจากนี้ ยังมีแรงงานในภาคเกษตรอีกจำนวนมากซึ่งสามารถย้ายไปสู่ภาคบริการได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าแรงงานเหล่านี้จะมีทักษะตรงตามที่ภาคบริการต้องการหรือไม่

 

ดังนั้น ดิฉันมองว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้วยการใช้เทคโนโลยี และจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบ สำหรับแรงงานศักยภาพสูงในภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องได้รับการศึกษาและอบรมเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ในยุค 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานศึกษาของธนาคารโลกชี้ว่าแรงงานผู้ชำนาญการของไทยยังมีทักษะต่ำกว่าความคาดหวังของนายจ้างในด้าน IT ด้านคณิตศาสตร์ ด้านความเป็นผู้นำ และด้านความคิดค้นนวัตกรรม ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีในอนาคตทั้งสิ้น

 

ในขณะที่แรงงานที่จะย้ายไปสู่ภาคบริการก็จำเป็นต้องได้รับการเตรียมพร้อมในทักษะที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจากการศึกษาของอีไอซีในปีที่ผ่านมาพบว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยต้องการบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะมากขึ้น เช่น การใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการจัดประชุมและนิทรรศการ เป็นต้น

 

นอกจากนี้ กลุ่มที่ดิฉันเชื่อว่าเราควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือนักเรียนและนักศึกษาที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต เพราะระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบันยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง เห็นได้จากผลตอบแทนจากการศึกษาในระดับต่างๆ ลดลงจนน่าตกใจในช่วงเวลาแค่สิบปี ยิ่งเมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้ว การวัดผลโดยใช้ผลคะแนน PISA ซึ่งเป็นแบบทดสอบมาตรฐานพบว่าคะแนนของนักเรียนระดับมัธยมของไทยอยู่อันดับที่ 55 จาก 72 ประเทศที่เข้าร่วมทดสอบ และจากรายงาน World Economic Forum ก็พบว่าคุณภาพของการศึกษาไทยอยู่ลำดับที่ 68 จาก 138 ประเทศ ในขณะที่คู่แข่งสำคัญของเรา เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีคุณภาพดีกว่า 

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูล Labor Force Survey

 

ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาจึงเป็นเรื่องที่ดิฉันคิดว่าเราควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น โดยนำประเด็นการศึกษาผนวกเข้ากับการพิจารณานโยบายพัฒนาประเทศทุกด้าน เพื่อให้แรงงานไทยมีทักษะที่เหมาะสมกับบริบทใหม่ของโลกและมีความยืดหยุ่นพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางเทคโนโลยีและโครงสร้างการค้าโลก เทคโนโลยีจึงจะได้ไม่เป็นศัตรูต่อแรงงานไทย และเป็นเครื่องมือทำให้ภาคบริการเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ