SHARE
SCB EIC ARTICLE
15 พฤศจิกายน 2016

มาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล

(Quantitative and Qualitative Monetary Easing with Yield Curve Control)

ผู้เขียน: ดร.ธนพล ศรีธัญพงศ์ และ ณฐกร วิสุทธิโก

เผยแพร่ในนิตยสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2016

 

101487366-s.jpg


 

 

For Japan, yield curve control is yet another step in a lengthy battle to gin up an economy that, like many others across the globe, appears to be sinking further down a deflationary hole.

ที่มา: CNBC 21 September 2016

 

 

การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (yield curve control) คืออะไร

 

yield curve control คือ เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินใหม่ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งประกาศใช้เมื่อการประชุมวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนในที่นี้หมายถึง อัตราผลตอบแทนใน 2 ระยะ คือ ระยะสั้น (ดอกเบี้ยนโยบาย) และระยะยาว (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปี) ซึ่ง BOJ พร้อมที่จะเข้าซื้อ/ขายพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) เพื่อให้อัตราผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยนี้เป็นไปตามเป้าหมาย จึงทำให้ปริมาณเงินที่ใช้เข้าซื้อ JGB ต่อปีของ BOJ อาจน้อยหรือมากกว่าวงเงินเดิมที่มีการกำหนดไว้ที่ 80 ล้านล้านเยนได้ ในขณะที่คงปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ไว้ตามเดิม โดย BOJ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ -0.1% และอัตราผลตอบแทนฯ ระยะ 10 ปี ไว้ที่ 0.0% และชี้ว่าในอนาคตสามารถเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมจากความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการเงิน

 

BOJ ดำเนินนโยบายการเงินใดมาบ้างก่อนประกาศใช้ yield curve control

 

การทำ yield curve control เป็นส่วนเพิ่มเติมมาจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QQE) ของ BOJ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเมษายน 2013 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2.0% ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา BOJ ได้ใช้ความพยายามในการใช้เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินที่ไม่เคยมีมาก่อน (unconventional monetary policy) ทั้งการเข้าซื้อสินทรัพย์ในตลาดที่หลากหลาย ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน กองทุนหุ้น (ETFs) และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับติดลบ เหล่านี้ล้วนมุ่งให้เกิดสภาวะผ่อนคลายทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยผลของการดำเนินนโยบายทางการเงินตั้งแต่ปี 2013 ทำให้ขนาดงบดุลของ BOJ เพิ่มขึ้นราว 2.8 เท่า ซึ่งจากเดิมอยู่ที่ 159 ล้านล้านเยนในปี 2013 มาเป็น 451 ล้านล้านเยนในปัจจุบัน แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อได้

 

ช่วงเวลาการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ

20161115-1.jpg 

ที่มา : BOJ

 

 

อะไรเป็นสาเหตุให้ BOJ ตัดสินใจใช้นโยบาย yield curve control

 

การที่ BOJ ใช้มาตรการ yield curve control นั้น มีเหตุผลหลัก 3 ประการด้วยกัน ได้แก่

 

1. การขยายวงเงินที่จะซื้อ JGB โดยไม่มีกลไกในการบริหารโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน การเข้าซื้อ JGB จำนวนมากของ BOJ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก จากการศึกษาของ BOJ 1 ระบุว่า ผลของการเพิ่มการถือครอง JBG ของ BOJ นำมาซึ่งการลดลงของอัตราผลตอบแทนฯ ระยะ 10 ปีประมาณ 1.0% โดยอัตราผลตอบแทนฯ ระยะ 10 ปีรวมถึงมากกว่า 10 ปีนั้น มีความสัมพันธ์อย่างมากกับรายรับของสถาบันการเงินในญี่ปุ่น ทั้งธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน และกองทุนบำเหน็จบำนาญ

 

 

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในญี่ปุ่น และ อัตราผลตอบแทน JGB ระยะ 10 ปี

20161115-2.jpg

 

  

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในญี่ปุ่น

20161115-3.jpg

 ที่มา : BOJ

 

 

การลดลงของอัตราผลตอบแทนฯ ระยะยาว ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลดลง ในภาวะที่เงินกู้เติบโตต่ำ การลดลงของอัตราผลตอบแทนฯ ระยะยาว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำมากจนไม่สามารถปรับลดลงได้มากนัก นำมาซึ่งการลดลงของรายรับดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารพาณิชย์ ผลกำไรที่ลดลงทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความสามารถที่ด้อยลงในการแบกรับหนี้เสียจากการปล่อยกู้ และลดแรงจูงใจของธนาคารพาณิชย์ในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงินระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ นอกจากนี้ ยังส่งผลไปถึงรายรับที่ลดลงของบริษัทประกันและกองทุนบำเหน็จบำนาญอีกด้วย

 

2. การทำ yield curve control ไม่ลดทอนสภาวะผ่อนคลายทางการเงินเดิม ทั้งกลับเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไปสำหรับ BOJ เพราะเป็นการเข้าควบคุมทั้งอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและอัตราดอกเบี้ยระยะยาว 10 ปี แทนการควบคุมการเพิ่มขึ้นของปริมาณฐานเงิน (monetary base) ในระบบ โดยเน้นไปที่การทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนฯ หรือเส้นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลทรงตัวโดยไม่ให้อยู่สูงหรือต่ำจนเกินไป ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะ 10 ปีไว้ที่ราว 0.0% เป็นสำคัญ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสภาวะผ่อนคลายทางการเงินและต้นทุนการระดมทุนในญี่ปุ่นจากเดิมนัก นอกจากนี้ จากการศึกษาของ BOJ ระบุว่าภาคเอกชนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นจะมีแนวโน้มกู้เพื่อการบริโภคและลงทุนในระยะไม่เกิน 10 ปี (ระยะสั้น-กลาง) มากกว่าระยะ 10 ปีขึ้นไป (ระยะยาว) ดังนั้น การตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะยาว 10 ปีให้คงที่ และใช้การทยอยปรับดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า

 

3. BOJ เริ่มเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทานของ JGB ที่จะเข้าซื้อ ตั้งแต่เริ่ม QQE ปี 2013 โดย BOJ ได้ซื้อ JGB ไปแล้วกว่า 270 ล้านล้านเยน โดย ณ ปัจจุบัน BOJ เป็นผู้ถือครองตราสารหนี้รัฐบาลญี่ปุ่นมากเป็นอันดับหนึ่ง โดยถือครองราว 36%2 ของปริมาณตราสารหนี้รัฐบาลในตลาดทั้งหมด ในขณะที่ ธนาคารพาณิชย์และบริษัทประกันเป็นผู้ถือตราสารในระดับรองลงมาที่ 24% และ 20% ตามลำดับ ทำให้การเพิ่มปริมาณการเข้าซื้อ JGB มีข้อจำกัดด้านอุปทานมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

 

 

การถือครองพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นของนักลงทุนแต่ละประเภท (มิถุนายน 2016)

20161115-4.jpg

 

ที่มา : MOF Japan

 

 

ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบาย yield curve control จะเป็นอย่างไร

 

อีไอซีประเมินว่าการทำ yield curve control น่าจะให้ผลในแง่การช่วยบรรเทาภาวะผลประกอบการย่ำแย่ของธนาคารพาณิชย์ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าการกำหนดอัตราผลตอบแทนระยะ 10 ปี ของ BOJ จะสามารถบรรเทาการลดลงของดอกเบี้ยเงินกู้ได้ แต่ยังคงมีปัจจัยอื่นที่กดดันผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์อยู่ เช่น 1) อุปสงค์ต่อเงินกู้ที่ต่ำตามสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว 2) สภาพคล่องส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ซึ่งมากเกินกว่าที่จะบริหารจัดการได้อันเนื่องมาจากการเติบโตของเงินฝากที่สูงกว่าเงินกู้อย่างมาก 3) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำมาก (ใกล้ 0%) ทำให้ไม่สามารถลดภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ผู้ฝากเงินได้อีก และ 4) อัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบซึ่งเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ที่มีสภาพคล่องส่วนเกิน

 

การกำหนดอัตราผลตอบแทนในระยะยาวให้ไม่ต่ำเกินไปน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการเงินที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เช่น บริษัทประกันภัย และ กองทุนบำเหน็จบำนาญ เนื่องจากสถาบันการเงินดังกล่าวมีเงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในตราสารหนี้ระยะยาวตามโครงสร้างภาระผูกพันต่อผู้จ่ายเบี้ย/ผู้ถือหน่วยลงทุน การกำหนดอัตราผลตอบแทนระยะ 10 ปีไม่ให้ต่ำเกินไป จึงเป็นการรักษาระดับรายรับดอกเบี้ยของกลุ่มสถาบันการเงินเหล่านั้นไม่ให้ลดจนกลายเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน

 

ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน อีไอซีมองว่าการทำ yield curve control ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่ออัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากในปัจจุบันค่าเงินเยนมีการเคลื่อนไหวไปตามพฤติกรรมการกลัวความเสี่ยงของนักลงทุนมากกว่า ทว่าการตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ BOJ อาจนำมาซึ่งความผันผวนของตลาดเงินญี่ปุ่นได้ในกรณีที่เกิดภาวะเงินไหลเข้าเป็นจำนวนมากและไม่มีความชัดเจนของ BOJ ว่าจะปรับเป้าหมายอัตราผลตอบแทนฯ ระยะ 10 ปีอย่างไร

 

อีไอซีมองว่า การทำ yield curve control ไม่ใช่สัญญาณของการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวแต่อย่างใด การประกาศใช้ yield curve control ทำให้มีความกังวลว่าจะเป็นการส่งสัญญาณของนโยบายการเงินตึงตัวของ BOJ เนื่องจาก BOJ มีความต้องการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำเกินไป จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการนำพันธบัตรออกขายเพื่อให้อัตราผลตอบแทนฯ ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งนับเป็นการดูดสภาพคล่องกลับและทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลง นำมาซึ่งภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น  อย่างไรก็ตาม อีไอซีมองว่า yield curve control ถูกนำมาใช้เนื่องจาก BOJ ให้ความสำคัญกับประเด็นเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินมากขึ้น ด้วยกลไกของ yield curve control นั้น ไม่ใช่สิ่งที่บ่งชี้ว่า BOJ จะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายกว่าเดิม หรือ เข้มงวดมากขึ้น เพราะ yield curve control นั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งสองทาง ทั้งป้องกันไม่ให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวต่ำเกินไป หรือ สูงเกินไป โดยในระยะนี้ เครื่องมือดังกล่าวถูกใช้เพื่อป้องกันมิให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวต่ำเกินไป ดังนั้น ด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังอยู่ในภาวะเปราะบาง จึงยังมีความจำเป็นอยู่มากที่ BOJ จะต้องรักษาระดับการผ่อนคลายทางการเงินไว้เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ  ซึ่ง BOJ ได้ให้ความเห็นไว้เช่นกันว่าจะยังคงรักษาระดับการเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจไว้ให้ได้ประมาณระดับเดิมเพื่อสนับสนุนสภาพคล่อง และยังคงปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ตามเดิม อันประกอบด้วย หุ้นกู้เอกชน 5.4 ล้านล้านเยนต่อปี กองทุนหุ้น (ETFs) 6.0 ล้านล้านเยนต่อปี และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 9 หมื่นล้านเยนต่อปี จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2.0% ต่อปี


1Comprehensive Assessment : Development in Economic Activity and prices as well as Policy Effects since the Introduction of QQE

2Japanese Government Bonds Monthly Newsletter of MOF, Japan. September 2016

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ