SHARE
IN FOCUS
10 สิงหาคม 2016

รู้ก่อนรุกอุตสาหกรรมการผลิตในอินเดีย

ตลาดอินเดียกำลังเป็นที่สนใจจากทั่วโลกจากตลาดที่ใหญ่ประกอบกับรัฐบาลอินเดียได้มีการเปลี่ยนนโยบายหันมาสนับสนุนการลงทุนเพื่อการส่งออกมากขึ้น แต่ตลาดอินเดียกลับไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดมากนักด้วยสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด รวมถึงปัจจัยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและความซับซ้อนของกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ทั้งนี้ อีไอซีมองโอกาสในตลาดอินเดียมีอยู่ 2 ช่องทางที่สำคัญ ได้แก่ 1) “จับ” ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการ และ 2) “เจาะ” ตลาดในกลุ่มของส่วนประกอบและชิ้นส่วนการผลิต โดยปัจจัยสู่ความสำเร็จที่สำคัญ คือ เน้นไปที่การลดต้นทุนและสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับผู้เล่นท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญ รวมถึงปรับตัวให้เข้ากับตลาดและเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันกับวิถีการใช้ชีวิตใหม่ของผู้บริโภคในอินเดียในแต่ละพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเข้าไปบุกตลาดหรือสร้างฐานการผลิตในอินเดียได้ในอนาคต

ผู้เขียน: ธีระยุทธ ไทยธุระไพศาล

 

ThinkstockPhotos-474075248.jpg


Highlight

  • ตลาดอินเดียกำลังเป็นที่สนใจจากทั่วโลกจากตลาดที่ใหญ่ประกอบกับรัฐบาลอินเดียได้มีการเปลี่ยนนโยบายหันมาสนับสนุนการลงทุนเพื่อการส่งออกมากขึ้น แต่ตลาดอินเดียกลับไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดมากนักด้วยสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด รวมถึงปัจจัยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและความซับซ้อนของกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ทั้งนี้ อีไอซีมองโอกาสในตลาดอินเดียมีอยู่ 2 ช่องทางที่สำคัญ ได้แก่ 1) “จับ” ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการ และ 2) “เจาะ” ตลาดในกลุ่มของส่วนประกอบและชิ้นส่วนการผลิต โดยปัจจัยสู่ความสำเร็จที่สำคัญ คือ เน้นไปที่การลดต้นทุนและสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับผู้เล่นท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญ รวมถึงปรับตัวให้เข้ากับตลาดและเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันกับวิถีการใช้ชีวิตใหม่ของผู้บริโภคในอินเดียในแต่ละพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเข้าไปบุกตลาดหรือสร้างฐานการผลิตในอินเดียได้ในอนาคต

 

อินเดียกำลังเป็นที่สนใจจากทั่วโลกด้วยขนาดของตลาดที่ใหญ่ประกอบกับรัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังสนับสนุนการลงทุนในประเทศ จากเศรษฐกิจที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยเป็นรองเพียงแค่สหรัฐฯ และจีน อีกทั้งจำนวนประชากรยังมีมากเป็นอันดับ 2 ของโลก สูงถึงราว 1.3 พันล้านคน เป็นเหตุให้ตลาดอินเดียกำลังเป็นที่จับตามองของทั่วโลก ซึ่งในระยะที่ผ่านมา จากการขยายตัวของจำนวนประชากรชนชั้นกลางของอินเดีย ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจำนวนประชากรดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกถึง 2 เท่าในอีก 10 ปีข้างหน้า และจากข้อมูลของ IMF พบว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตค่อนข้างดีอยู่ที่ราว 6.7% และคาดว่าภายในปี 2020 จะขึ้นไปถึงราว 7.7% นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียชุดปัจจุบันได้เปลี่ยนนโยบายโดยหันมามุ่งเน้นและสนับสนุนการลงทุนเพื่อผลักดันให้ประเทศมีการส่งออกมากขึ้น ด้วยการริเริ่มสร้างแคมเปญ Make in India ขึ้นมาเมื่อปี 2014 เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้กับอินเดีย ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ต่างชาติหันมาลงทุนในอินเดียมากขึ้น จากแต่ก่อนอินเดียค่อนข้างที่จะกีดกันการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (protectionism) พอสมควร ทั้งนี้ การหยุดผลิตรถยนต์ Hindustan Ambassador ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์ประจำชาติของอินเดียเมื่อกลางปี 2014 นั้น นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิรูปภาพลักษณ์ใหม่ครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตในอินเดียเลยก็ว่าได้    

     

อย่างไรก็ดี ด้วยสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดประกอบกับความไม่พร้อมด้านปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน จึงทำให้ตลาดอินเดียไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายคนคิดมากนัก จากการที่นักลงทุนต่างชาติพร้อมใจกันเข้าไปปักธงและสร้างฐานการผลิตในอินเดียเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ยกตัวอย่าง ผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Samsung, LG, IBM, Dell, HTC, Foxconn, Toshiba และผู้เล่นรายใหญ่อื่นๆ รวมถึงผู้เล่นไทยราว 20-30 ราย นอกจากนี้ ในแต่ละพื้นที่ของอินเดียก็มีผู้เล่นท้องถิ่นรายใหญ่อยู่แล้วด้วยในเกือบทุกอุตสาหกรรม อาทิ ผู้เล่นท้องถิ่นในอุตสาหกรรมรถยนต์อย่าง Tata Mahindra หรือผู้เล่นท้องถิ่นในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Videocon Onida เป็นต้น เป็นเหตุให้การแข่งขันในตลาดค่อนข้างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นท้องถิ่นเองค่อนข้างที่จะแข็งแกร่ง เนื่องจากระหว่างผู้เล่นด้วยกันจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (linkage) ในลักษณะของเครือข่ายการผลิต (supply chain) ที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะในตลาดระดับล่างของแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ ปัจจัยเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงความซับซ้อนของกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญของอินเดีย แม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียจะมุ่งเน้นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและยังตามหลังหลายประเทศอยู่ ซึ่งภาครัฐเองก็กำลังเร่งปฏิรูปโครงสร้างต่างๆ ทั้งระบบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางในการจัดหาเงินทุนโดยใช้ระบบ PPPs หรือการจัดตั้งกองทุนที่รัฐบาลจะใช้ในการสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมไปถึงโครงการขยายถนนและการผลิตไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ความแตกต่างกันของนโยบายระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ของอินเดียยังเป็นอุปสรรคต่อผู้เล่นในการที่จะบรรลุกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เช่น ปัญหาการเก็บภาษีทับซ้อนระหว่างรัฐและภาษีสินค้าทางอ้อม ซึ่งอินเดียต้องใช้เวลากว่า 2 ปีถึงจะมีความคืบหน้า โดยล่าสุดรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายภาษี GST (Good and services tax) ให้ผ่านรัฐสภาได้แล้ว อย่างไรก็ตาม การที่จะแก้ปมความท้าทายเหล่านี้ให้หายไปทั้งหมดนั้นยังต้องใช้เวลาอีกซักระยะ เนื่องปัญหาด้านการเมืองระหว่างสภาสูงและสภาล่าง (upper house and lower house) ยังเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ยังมีอยู่ ซึ่งอาจจะส่งผลให้การปฏิรูประบบต่างๆ ของอินเดียเกิดความล่าช้าได้       

 

อีไอซีมองโอกาสในตลาดอินเดียมีอยู่ 2 ช่องทางที่สำคัญ ช่องทางแรก คือ “จับ” ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการ จากที่รัฐบาลอินเดียมีการเปลี่ยนนโยบายและกำลังอยู่ในช่วงปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานระบบต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะสร้างโอกาสที่ดีให้ผู้ประกอบการที่จะเข้าไปร่วมพัฒนาในส่วนนี้ได้ เนื่องจากผู้ประกอบการจะได้ส่วนลดทางภาษีต่างๆ เมื่อไปลงทุน อีกทั้งในธุรกิจดังกล่าวยังมีพื้นที่ให้ผู้ประกอบการมีการเติบโตอยู่ อีกช่องทาง คือ “เจาะ” ตลาดในกลุ่มของส่วนประกอบและชิ้นส่วนการผลิต เนื่องจากอินเดียยังติดปัญหาเรื่องต้นทุนการขนส่งที่สูง รวมถึงชิ้นส่วนบางอย่างในอินเดียก็ยังไม่สามารถผลิตได้ โดยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่ ทั้งนี้ ตัวอย่างของอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เช่น อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนประกอบยานยนต์และเครื่องจักรกล เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการนำเข้าของอินเดียกว่า 10% ยังเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นมูลค่าสูงถึงราว 3 หมื่นกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท้ายที่สุดนี้ อีไอซีมองว่าผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเข้าไปบุกตลาดหรือสร้างฐานการผลิตในอินเดียได้จากช่องทางดังที่กล่าวมา อย่างไรก็ดี จังหวะในการลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้ประกอบการควรจะวิเคราะห์และพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

 

 

Implication.png

Implication.gif

  • อีไอซีแนะผู้ประกอบการที่เข้าไปลงทุนในอินเดียควรมุ่งเน้นการลดต้นทุนและสร้างพันธมิตรกับผู้เล่นท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญ จากกรณีศึกษาต่างๆ พบว่า ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมีการใช้วัตถุดิบในประเทศ (localization) มากกว่า 70-80% เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวจะไม่เพียงแค่ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายการผลิตของผู้ประกอบการให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อต่อยอดธุรกิจไปสู่การส่งออกได้ในอนาคต โดยการการส่งออกที่เพิ่มขึ้นนั้น นอกจากจะสามารถเพิ่มการประหยัดต่อขนาดแล้วยังช่วยให้ได้รับประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐอีกด้วย

  • นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรปรับตัวให้เข้ากับตลาดในแต่ละพื้นที่และเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ก้าวทันวิถีการใช้ชีวิตใหม่ของผู้บริโภคในอินเดีย โดยการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค ภาษาและวัฒนธรรม การเข้าใจกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของแต่ละพื้นที่ซึ่งมีความแตกต่างกันมากในอินเดียเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม รวมถึงการมองหาแนวทางในการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดที่ผู้บริโภคเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น ทั้งนี้ การวางรากฐานการผลิตที่มั่นคง การบริหารงานอย่างเป็นระบบ การบริหารทรัพยากรให้เหมาะสม และการไม่หยุดที่จะพัฒนาในด้านต่างๆ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมในการรับมือกับข้อจำกัดและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของตลาดอินเดียได้ในอนาคต

 

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ